ทริปเดินทาง : 14-18 มกราคม 2558
ฤดูกาลล่าพญาเสือโคร่งด้วยกล้องถ่ายรูป – สีชมพูเต็มโซเชียลมีเดียเชียวครับ เชื่อว่าปีนี้หลายคนคงมีโอกาสเดินทางเที่ยวยลความสวยงามของดอกไม้สีชมพูที่บานสะพรั่งเพียงปีละไม่กี่วัน ผมเองเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน มีโอกาสสอดส่องพญาเสือที่ดอยอินทนนท์ เชียงใหม่ แต่ว่าการเชยชมดอกนางพญาเสือโคร่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเส้นทาง เพราะเป้าหมายคือการเที่ยวดอยสูงเฉียดฟ้าหลังคาเมืองไทยให้มากที่สุดต่างหาก บังเอิญว่าพญาเสือโคร่งกำลังบานสะพรั่งยิ้มแฉ่งพอดีเลยได้ชมความงามของพวกมันไปพร้อมกัน
การเดินทางเน้นผจญภัยตามสไตล์ครับ เช่ารถแมงกะไซค์จากตัวเมืองเชียงใหม่ ขึ้นดอยอินทนนท์ทางอำเภอแม่วาง แวะชมนางพญาเสือโคร่งที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) จากนั้นมุ่งสู่ยอดดอยเที่ยวตามอำเภอใจ แล้วลงฝั่งอำเภอจอมทอง ซึ่งปกติเป็นเส้นทางหลักที่นักท่องเที่ยวใช้กัน
ห้าวัน สี่คืน ขึ้นเขา ชมดอกไม้ เที่ยวน้ำตก กางเต็นท์นอนอาบอากาศหนาวๆ เป็นอีกทริปที่จบลงแบบสุดฟินแสนประทับใจ
ใครเคยขี่แมงกะไซค์เช่าเที่ยวเชียงใหม่คงรู้ว่าทำได้ไม่ยาก แต่ขออธิบายซ้ำอีกครั้งเผื่อใครยังไม่รู้และอยากลองเที่ยวดูบ้างนะครับ อันดับแรกคือไปให้ถึงเชียงใหม่ พอถึงแล้วมุ่งหน้าไปยังร้านแมงกะไซค์เช่า BIKKY หากไปด้วยรถทัวร์ทางร้านมีสาขาอยู่ที่สถานีขนส่งหรือที่คนเชียงใหม่เรียกว่าอาเขต แต่หากไปด้วยเครื่องบินหรือรถไฟก็จับรถแดงไปยังร้านใหญ่สาขาถนนห้วยแก้ว หรือจะให้ทางร้านเขามาส่งก็ได้มีค่าบริการเล็กน้อย เท่านี้ก็ได้แมงกะไซค์เช่ามาครอบครอง มีทั้งเกียร์ธรรมดา ออโต้ รถใหม่ รถเก่า ราคาต่างกัน รับประกันว่าคนไทยเช่าสบายไม่มีปัญหาเพราะลูกค้าหลักของทางร้านคือพวกเรานี่แหละ
พอรถพร้อมก็ลุยโลด อยากเที่ยวที่ไหนจัดเอาตามความสะดวก แต่สำคัญที่สุดคือต้องประเมินฝีมือการแว้นของตัวเองให้ดี และรถเช่าย่อมคือรถเช่าไม่รถเรา สมรรถภาพ และความสมบูรณ์ของอุปกรณ์ต่างๆ อาจไม่เต็มร้อย ตรวจเช็กให้ดี
สำหรับผมทริปนี้เน้นที่ดอยอินทนนท์ เพราะยังไม่เคยเที่ยวมาก่อนเลย สตาร์ตรถแล้วเร่งเครื่องไปด้วยกันได้เลยครับ…
(1)
ทริปนี้ 14-18 ม.ค. เดินทางสองคนกับคุณนายเหนือหัว เริ่มต้นเดินทางจาก กทม. ด้วยรถทัวร์ของนครชัยแอร์เหมือนปกติ รอบสุดท้ายห้าทุ่มครึ่ง ถึงเชียงใหม่เก้าโมงเช้า ร้าน BIKKY สาขาอาเขตเปิดร้านแล้ว ผมเดินทางแบบนี้และเช่าแมงกะไซค์ที่นี่หลายงวดแล้ว แต่มาครั้งนี้มีเรื่องเซอร์ไพรส์นิดหน่อย คือเขาขยายร้านเป็นสองห้องแถว รถเยอะขึ้น แถมเปิด-ปิดเร็วขึ้น หกโมงเช้าถึงสามทุ่ม ถือว่าดีเลยครับ เพราะคราวหน้าจะได้เลื่อนเวลามาเร็วขึ้นและกลับช้าลงอีกนิด ได้เวลาเที่ยวเพิ่มชั่วโมงสองชั่วโมง ผมเอาหมดแหละครับ (ฮา…)
เรตราคาเช่า เกียร์ธรรมดาสองร้อย ออโต้สองร้อยห้าสิบ ออโต้ใหม่สามร้อย ซึ่งจริงๆ การขึ้นเขาลงดอยแนะนำว่าควรใช้รถเกียร์ธรรมดา แต่บังเอิญดูจากข้าวของแล้วเห็นที่รถเกียร์ธรรมดาจะแบกทั้งหมดไม่ไหว เลยต้องกระโดดข้ามไปออโต้ตัวใหม่ ฟีลาโน่ แกรนด์ ซึ่งจุได้เยอะมากครับ เป้ใหญ่ผูกท้าย เป้เล็กวางตรงที่รองเท้า ใต้เบาะใส่เต็นท์ ส่วนขาตั้งกับอื่นๆ จิปาถะให้คุณนายเธอกระเตง กระเป๋ากล้องอีกใบผมสะพายเอง
เส้นทางใช้ตามที่ผมถนัดเพราะปีก่อนขี่แมงกะไซค์ไปขุนวางมาแล้ว (แต่ไม่ได้ขึ้นดอยอินทนนท์) คือใช้วงแหวนรอบนอกเชียงใหม่ ทางหลวงหมายเลข 121 ยิงยาวลงใต้ผ่านทางเข้าอุทยานหลวงราชพฤกษ์ แยกต้นเก๋วน เลียบคลองชลประทานมาเรื่อยจนเข้าเขตอำเภอสันป่าตอง เลี้ยวขวาตามทางหลวงหมายเลข 1013 เส้นนี้แหละจะมีถนนเชื่อมต่อพาไปถึงขุนวาง ขึ้นเขาลงเขาข้ามเขาไปเรื่อยๆ บางช่วงเลียบลำน้ำแม่วาง มีปางช้าง ฝรั่งชอบมาเที่ยวนักแล บรรยากาศดีครับ รถน้อย เหมาะกับการขี่แมงกะไซค์
ขี่มาเรื่อยๆ ไม่ถึงสองชั่วโมงถึงขุนวางแล้ว ชื่อเต็มๆ คือศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ซึ่งเป็นคนละที่กับศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวางนะครับ หลายคนไปผิดมาแล้ว ตอนไปถึงอากาศกำลังดีมาก ดอกพญาเสือโคร่งสวยมากเช่นกัน ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเรื่อยเปื่อย นักท่องเที่ยวทยอยมาพอสมควร
คืนแรกตั้งใจกางเต็นท์ของตัวเองนอนที่ขุนวาง แต่สอบถามที่ศูนย์ฯ เขาไม่มีเครื่องนอนให้เช่า ส่วนเต็นท์เช่าก็เต็ม บ้านพักเดี่ยวหลังสุดท้ายเพิ่งปล่อยไป ยังโชคดีว่ามีบ้านรวมหลังใหญ่คิดราคาหัวละร้อยห้าสิบ มีเพื่อนนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มมาอยู่ด้วยกัน ไม่มีปัญหาครับ นอนสบายกว่าเต็นท์ด้วยซ้ำ แถมมีน้ำอุ่นให้อาบอีกต่างหาก
(2)
เช้าวันถัดมาเดินเล่นถ่ายรูปที่ขุนวางอีกสักพัก นักท่องเที่ยวหนาตาขึ้นเรื่อยๆ เพราะข่าวคงรายงานแล้วล่ะว่าพญาเสือโคร่งที่ขุนวางกำลังสะพรั่งสวยมาก
เสพสวรรค์สีชมพูพอหอมปากหอมคอแล้วก็ถึงเวลาขึ้นสู่ดอยอินทนนท์ บ้านขุนวางนั้นอยู่ตีนดอยทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ที่บ้านขุนกลาง ประมาณ 16 กม. ขี่แบบชิลๆ แค่สักชั่วโมงก็ถึง ถนนขึ้นเขาสร้างเสร็จสภาพอย่างดีเกือบตลอดสาย
ระหว่างทางผ่านศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ที่นี่มีพญาเสือโคร่งริมอ่างเก็บน้ำ แวะเข้าไปสักหน่อย ใบแซมเยอะแล้วแต่ยังพอมีสีสันสวยอยู่บ้าง แถมมีกล้วยไม้รองเท้านารีสวยๆ ให้ชมด้วยครับ
เมื่อเข้าเขตบ้านขุนกลางต้องเบรกรถเอี๊ยดกันเลยทีเดียวเพราะเห็นน้ำตกสิริภูมิโดดเด่นอยู่บนเขาลิบๆ พอถัดมาอีกนิดคือที่พักชื่อดอยชัวร์ญ่าซึ่งกำลังดังมาก เป็นจุดชมน้ำตกสิริภูมิจากระยะไกลที่ดีเชียวครับ ไม่คิดจะพักที่นี่หรอกครับแต่ก็ตีเนียนมาถ่ายรูปเล่นได้สบาย เขาไม่ว่าอะไร
เลยดอยชัวร์ญ่ามานิดเดียวก็ถึงจุดหมายครับ ลานกางเต็นท์ดงสน อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อยู่ใจกลางบ้านขุนกลาง ห่างจากที่ทำการฯ ราวครึ่งกิโลเมตร หากจะกางเต็นท์ที่นี่ต้องไปติดต่อที่ทำการฯ เพื่อชำระค่าธรรมเนียมก่อน ข้อดีของการกางเต็นท์ในอุทยานฯ คือเขามีเครื่องนอนให้เช้าทั้งเบาะรอง ผ้าห่ม ราคาไม่แพงนัก เต็นท์ของผมเลยได้ใช้งานเสียที ที่นี่ลานกางเต็นท์จุคนได้เยอะ ห้องน้ำ-ห้องอาบน้ำเพียบ สะอาดสะอ้านน่าพอใจเลยแหละ
กางเต็นท์เสร็จบ่ายแก่ๆ แต่ยังมีเวลาลุยเที่ยว ผมไปน้ำตกสิริภูมิก่อนเลย ดูจากมุมไกลมาแล้วคราวนี้เข้าไปยังน้ำตกชั้นล่างบ้าง เป็นพื้นที่ดูแลของโครงการหลวง เขาจัดทำเป็นสวนป่าสาธารณะ สวยสดชื่นมากครับ เสียค่าเข้าคนละยี่สิบ ปิดตอนหกโมงเย็น ผมเที่ยวถ่ายรูปจนถึงราวห้าโมงนิดๆ ก็กลับออกมา
เวลาที่เหลือก็ชิลๆ ตามสบายแถวลานกางเต็นท์นั่นแหละครับ ของกินหาง่ายมาก แค่ตรงข้ามทางเข้าลานกางเต็นท์ก็มีร้านชายสี่หมี่เกี๊ยวตั้งหราแล้ว (ฮา…) อากาศสบายๆ ซดน้ำซุปร้อนๆ อิ่มท้องอิ่มใจครับ
(3)
วันต่อมาตั้งนาฬิกาปลุกตีสี่ แน่นอนว่าเพื่อมุ่งหน้าขึ้นสู่กิ่วแม่ปานและยอดดอยอินทนนท์ ยอดดอยอยู่ห่างจากลานกางเต็นท์ประมาณ 16 กม. ส่วนกิ่วแม่ปานใกล้กว่านั้นเล็กน้อย ผมพาคุณนายแว้นฝ่าความมืดและความหนาวขึ้นไปใช้เวลาสักครึ่งชั่วโมง
นั่งรอคอยแสงแรกที่จุดชมวิวทางเข้ากิ่วแม่ปาน ริมทางหลวงหมายเลข 1009 กม. 42 คุ้มที่ขึ้นมาหรือไม่… พิจารณากันเองเถิดครับ!
เช้าวันนั้นแม้จะไม่มีทะเลหมอก ไม่เกิดแม่คะนิ้ง แต่ไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวังสักนิดเดียว แค่สายหมอกบางๆ วิวสวยๆ ธรรมชาติสดชื่นก็ปลื้มปริ่มเหลือหลายแล้ว
หลังเติมท้องด้วยข้าวเหนียวหมูย่างร้อนๆ ตรงจุดร้านค้าหน้าทางเข้ากิ่วแม่ปานแล้ว ก็มาถึงไฮไลท์สำคัญของทริปคือการเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานครับ
ที่นี่ต้องมีไกด์ท้องถิ่นนำทาง (ไม่ใช่เพราะทางลำบากหรอกนะครับ แต่เป็นการให้ชุมชนมีส่วนร่วมกับอุทยานฯ มีรายได้จากการรักษาป่า และอีกทางเป็นการดูแลไม่ให้นักท่องเที่ยวทำร้ายธรรมชาติทั้งโดยตั้งใจและรู้เท่าไม่ถึงการณ์) มีค่าใช้จ่ายกลุ่มละสองร้อยบาท จะรวมกลุ่มเรียงตามลำดับคิวลงชื่อกันไปเป็นสิบคนหรือไปเป็นไพรเวทกรุ๊ปก็สองร้อยต่อรอบเท่ากัน ผมกับคุณนายได้จับกลุ่มเล็กๆ กับครอบครัวน่ารักพาหนูน้อยวัยประถมสองคนมาเที่ยว กับสาวรุ่นมาดคล่องแคล่วอีกคน พากันเดินช้าๆ ชมวิวชมความงามและฟังมุขตลกจากไกด์อารมณ์ดีไปเรื่อย
ช่วงแรกของเส้นทางคือป่าดิบเขา พ้นเขตป่าจะเป็นทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์บนภูเขา จากนั้นจะต้องเดินเลียบเขาไปยังจุดที่เราเรียกว่ากิ่วแม่ปาน แนวเขาฝั่งนี้จะมองเห็นวิวอำเภอแม่แจ่ม และขุนเขาซับซ้อนของจังหวัดแม่ฮ่องสอนครับ บนเส้นทางนอกจากวิวสวยๆ ยังได้ชมดอกกุหลาบพันปี – ซึ่งความจริงไม่ใช่กุหลาบ และถ้าโชคดีจะได้เห็นกวางผาตามธรรมชาติ พวกเราได้เห็นครับแต่แบบไกลลิบๆ กวางผาตัวเท่าแมลงวัน (ฮา…) เส้นทางเลียบเขาจะวนกลับเข้าป่าไปบรรจบกับจุดเริ่มต้น ระยะทางรวม 3.2 กิโลเมตร กลุ่มเราเดินเข้าตอนแปดโมงครึ่ง กลับออกมาตอนเที่ยง ใช้เวลามากกว่าทั่วไปนิดหน่อย
กุหลาบพันปีกำลังออกดอกสะพรั่งเชียว
ไกด์บอกว่าเส้นทางกิ่วแม่ปานดูได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตก พระอาทิตย์ขึ้นคือฝั่งที่มองเห็นพระมหาธาตุนภเมทนีดล กับพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ส่วนพระอาทิตย์ตกคือตลอดแนวหน้าผา ฟังแล้วผมอยากมากครับทั้งขึ้นและตก แต่ประเมินจากสภาพคุณนายคงต้องขอยกยอดไว้ตอนมาลุยเดี่ยวจะเหมาะกว่า
จากนั้นบิดแมงกะไซค์จากกิ่วแม่ปานอีกนิดเดียวก็ถึงยอดดอย เคยคิดจินตนาการว่ายอดดอยอินทนนท์คงเป็นจุดชมวิวสวยสุดยอดเพราะสูงที่สุดในประเทศ แต่ความจริงกลับไม่ใช่เลยครับ ตรงจุดชมวิวที่เขาทำไว้มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากยอดไม้ มาถึงจุดสูงสุดแล้วก็แค่ถ่ายรูปกับป้ายเท่านั้นแหละ!
จริงๆ แล้วไฮไลท์บริเวณยอดดอยอยู่ที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา เคยเห็นภาพเหมือนป่าดึกดำบรรพ์ ต้นไม้สูงใหญ่เขียวขจีตัดกับไอหมอกสีขาวโพลนสวยงามและชวนลึกลับเป็นที่สุด ทว่าบรรยากาศช่วงที่ผมเจอมันไม่เหมือนที่เห็นในภาพสักนิดเลยแฮะ ซีดๆ เซียวๆ สมกับเป็นหน้าหนาวจริงๆ (ฮา…)
เอาล่ะ… ผิดหวังนิดหน่อยจากที่อ่างกาช่างมันอย่าได้ใส่ใจ แว้นลงมายังพระมหาธาตุนภเมทนีดล กับพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ สองพระมหาธาตุเจดีย์ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของดอยอินทนนท์ไปแล้ว ตั้งอยู่ใกล้กับทางเข้ากิ่วแม่ปาน ค่าเข้าชมคนละสี่สิบบาท ผมใช้เวลาเดินเล่นถ่ายรูปเล่นแค่พอประมาณไม่นานนัก
ปิดท้ายการเที่ยวในวันนี้ที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ค่าเข้ายี่สิบบาท ไปถ่ายรูปกับดอกไม้สวยๆ ซึ่งสำหรับผมถือว่าธรรมดาครับ เป็นสวนดอกไม้บนดอยเหมือนที่เห็นได้มากมายทั่วไป หมายถึงดอกไม้ก็สวยนะครับ บรรยากาศดี แต่… ก็นั่นแหละนะครับ
(4)
วันถัดมา กระเด้งตัวตีสี่ครึ่งเวลาเดิมเพื่อซิ่งทะลุความมืดสู่จุดชมวิวชมพระอาทิตย์ขึ้นอีกรอบครับ… ถ้าไม่ได้ขึ้นมาเสียดายแย่ เพราะฟ้าระเบิดสะใจสุดๆ ไปเลย
แต่ครั้งนี้อยู่ข้างบนไม่นานครับ พอแสงสวยๆ จางหายก็กลับลงไปข้างล่าง เป้าหมายอยู่ที่ดอยผาตั้ง จุดชมนางพญาเสือโคร่งอีกแห่งบนดอยอินทนนท์ซึ่งกำลังสะพรั่งสวยทีเดียว พิกัดทางเข้าอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานฯ จากนั้นเลี้ยวรถคดเคี้ยวขึ้นเขาไม่ชันมากอีกประมาณ 5 กม. ก็ถึงหน่วยพิทักษ์ฯ ดอยผาตั้ง
ฟ้าปิดแดดไม่มี อากาศไม่แจ่ม แต่ยังไงความสวยของพญาเสือโคร่งก็เต็มเปี่ยมครับ ถ่ายรูปสนุกกันตามสภาพอากาศจะอำนวยแล้วกัน
ตอนเที่ยงลงจากผาตั้งมาแวะถ่ายรูปเล่นหน้าโรงเรียนบ้านขุนกลางสักหน่อย จุดนี้อยู่ติดกับลานกางเต็นท์ดงสนครับ แต่ขี่แมงกะไซค์ผ่านไปผ่านมาเป็นสิบๆ รอบแล้วยังไม่ได้แวะถ่ายรูปสักที ถือว่าเป็นอีกบรรยากาศของการชมแม่เสือสีชมพู
เที่ยวเส้นขึ้นดอยมาเยอะแล้ว หมุดหมายต่อไปคือแว้นลงดอยไปทางฝั่งอำเภอจอมทองครับ เป็นเส้นทางสายน้ำตกเพราะมีน้ำตกสวยอยู่หลายแห่ง ที่ผมอยากไปที่สุดคือน้ำตกวชิรธาร เห็นภาพของคนอื่นมาเยอะแล้ว กระสันมือสั่นอยากลั่นชัตเตอร์เองมากๆ
ระหว่างทางลงไปน้ำตกวชิรธาร เหลือบเห็นป้ายน้ำตกสิริธาร เลยเลี้ยวเข้าไปสักหน่อย มีบันไดเดินลงไปแค่ร้อยเมตรเอง พอเห็นน้ำตกแล้วต้องร้องโอ้โฮ เพราะสวยยิ่งใหญ่มากครับ จากข้างบนเห็นทางเดินลงไปข้างล่างไม่ไกลมากด้วย
พอเสร็จสรรพจากน้ำตกสิริธารค่อยไปต่อที่น้ำตกวชิรธาร อยู่แถวหลัก กม.ที่ 21 ของทางหลวงหมายเลข 1009 เลี้ยวเข้าไปสัก 1 กม. ที่นี่ไม่ได้ใหญ่แค่น้ำตกแต่ยังเป็นจุดสำคัญด้านการท่องเที่ยว เพราะมีทั้งร้านอาหาร ห้องน้ำ จัดทำอย่างดีและใหญ่โต สมกับเป็นน้ำตกดังของอุทยานฯ จริงเชียว
มาถึงแล้วต้องเดินวนหามุมถ่ายรูปครับ แม้ว่าละอองน้ำเยอะมากถ่ายยากและเสียเวลาสักหน่อยก็เถอะ
พอใจจากน้ำตกวชิรธารตอนเย็นย่ำพอสมควร ครั้นจะลงไปเที่ยวน้ำตกข้างล่างอีกก็ไม่ทันแล้วล่ะ ที่สำคัญเย็นนี้ผมมีคิวถ่ายรูป ‘ดาวบนดิน’ หรือแสงไฟในแปลงดอกไม้ของชาวม้งที่บ้านขุนกลาง เลยต้องตีรถกลับไปยังลานกางเต็นท์เพื่อหามุมไว้ก่อน น่าเสียดายว่ามุมที่เลือกไว้บังเอิญเปิดแสงไม่สวยสมใจเท่าไหร่แต่ก็เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนครับ พอแล้วล่ะ ปิดวันเพียงเท่านี้พอ วันสุดท้ายค่อยว่ากันใหม่
(5)
วันสุดท้ายของการตะลอนเที่ยวขอเอนกายนอนยาวสักวัน ตื่นมาตอนสายๆ เก็บเต็นท์ คืนเครื่องนอนที่เช่าจากทางอุทยานฯ แล้วลุยโลดมุ่งหน้าลงตามทางหลวงหมายเลข 1009 ครับ
ผ่านน้ำตกวชิรธารแดดดีฟ้าสวยเลยต้องแวะไปแก้มือสักนิด วันนี้มีรุ้งบางๆ ให้เห็นด้วยแฮะ
จากนั้นลงยาวเป้าหมายคือตีนเขาครับ ตั้งใจไปน้ำตกแม่กลาง แต่ระหว่างทางเจอป้ายน้ำตกวังควาย เลยต้องเบรกเอี๊ยดตามฟอร์ม มีเวลาไม่มากนักแต่ขอแช้ะภาพเก็บเป็นที่ระลึกสักหน่อยก็ยังดี
เอาล่ะ ลงเขาต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านด่านตรวจของอุทยานฯ จึงพบน้ำตกแม่กลาง น้ำตกนี้อยู่ตีนดอยใกล้แหล่งชุมชนครับ เปรียบไปก็เหมือนน้ำตกห้วยแก้วตีนดอยสุเทพยังไงยังงั้น การท่องเที่ยวเลยเป็นแบบชุมชน มีซุ้มอาหารริมน้ำให้เปิบส้มตำน้ำตกกันเปรมพุง แถมอยู่ตีนดอยอากาศไม่หนาว ช่วงแดดแรงๆ เล่นน้ำสบายใจ
สุดท้ายและท้ายสุดแล้วครับคือน้ำตกแม่ยะ ได้ข้อมูลมาว่าเป็นหนึ่งในท็อปเทนสุดยอดน้ำตกไทย ที่นี่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์และอำเภอจอมทอง แต่ไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับทางขึ้นดอย จากตีนดอยใกล้ตัวอำเภอมีทางแยกไปน้ำตกระยะทาง 14 กม. ก็ต้องกระเตงบิดแมงกะไซค์กันไปครับ ผ่านชุมชนมาสักพักก็เข้าสู่แนวป่าอีกครั้ง แต่สภาพป่าตีนดอยเป็นคนละรูปแบบกับป่าบนดอยอย่างเห็นชัดเจนเลย
ถึงลานจอดรถแล้วเดินสู่ตัวน้ำตกอีกครึ่งกิโล ทางสบายครับเดินฉิวแป๊บเดียวเอง พอเห็นน้ำตกเท่านั้นแหละคุณเอ๋ย หมดข้อสงสัยเลยครับว่าทำไมที่นี่ถึงได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดน้ำตกแห่งหนึ่งของบ้านเรา ขนาดหน้าน้ำน้อยยังงดงามสุดแสนอลังการ นั่งฟังเสียงน้ำตกซู่ซ่าหล่นมาจากหน้าผาแล้วมีความสุขเป็นที่สุด ผมปักหมุดไว้เลยว่าต้องกลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้งให้ได้
หลังจากนั้นก็ติดเครื่องแมงกะไซค์ย้อนกลับสู่ทางหลวงหมายเลข 1009 ตัดมาออกถนนใหญ่คือทางหลวงหมายเลข 108 ยิงยาวอย่างเดียวมุ่งหน้าเข้าเชียงใหม่ ระยะทางราว 70 กม. ผมออกจากน้ำตกตอนสี่โมงเย็น แวะพักรถกินกาแฟนิดหน่อย คืนรถที่ร้านตอนหกโมงเย็นเคารพธงชาติเป๊ะ รอรถทัวร์เข้ากรุงเทพรอบที่ตีตั๋วไว้คือทุ่มตรง
เบ็ดเสร็จห้าวันกับแมงกะไซค์หนึ่งคันเที่ยวอินทนนท์ก็จบลงด้วยประการละฉะนี้
ขอบอกว่าทริปนี้สนุกสะใจและเป็นปลื้มสุดๆ และถือเป็นทริปใหญ่เปิดตัวปี ’58 ที่กิ๊บเก๋ไม่หยอก นับจากนี้ไปคงเป็นปีที่มันสะเด่าแน่นอนทีเดียวเชียวล่ะ… หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ!
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller