แตะขอบฟ้าป่าใต้ หนานระฟ้า เนินลมฝน 3 วัน 2 คืน เขาหลวงนคร

ทริปเดินทาง : 28 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2563

เขาหลวง นครศรีธรรมราช ขุนเขาหลังคาแดนใต้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดป่าฝนของเมืองไทย ทั้งมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ความท้าทายให้สายลุยสายผจญภัยฝ่าฟันความลำบากขึ้นไปพิชิตใจพิชิตร่างกายตัวเอง

ผมรู้จักเขาหลวงผ่านภาพถ่าย เรื่องเล่าจากคนที่เคยไป และบทเพลง (กนกพงศ์) คนฟังเสียงฝน ของ มาโนช พุฒตาล ที่แต่งอุทิศให้แก่ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ นักเขียนซีไรต์ชาวปักษ์ใต้ผู้ผูกพันกับเขาหลวงซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2549 เป็นเพลงที่เมื่อคนรักธรรมชาติฟังแล้วย่อมต้องเกิดความรู้สึกอยากทำความรู้จักกับเขาหลวงทั้งนั้นแหละ

ผมเองก็เช่นกัน…

แต่จนแล้วจนรอดต้องรอผ่านมาจนปีนี้ ผมจึงเพิ่งมีโอกาสสัมผัสธรรมชาติยิ่งใหญ่ของเขาหลวงสักที เมื่ออุทยานแห่งชาติเขาหลวงเปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปได้เดินเส้นทางศึกษาระยะไกลอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการจัดระเบียบและขออนุญาตตามกฎอุทยานฯ อย่างถูกต้อง

เขาหลวงเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ โอบรอบด้วยชุมชนมากมาย มีหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ หลายจุด เช่นเดียวกับเส้นทางศึกษาธรรมชาติหลายเส้น โดยเส้นที่ผมมีโอกาสไปเที่ยวครั้งนี้คือ น้ำตกหนานระฟ้า – เนินลมฝน ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ขึ้นและลงทางหน่วยพิทักษ์ฯ น้ำตกอ้ายเขียว อำเภอพรหมคีรี


(1)

กำหนดวัน ติดต่อรายละเอียดกับอุทยานฯ หาเพื่อนร่วมทริป สามารถหลอกเพื่อนให้มาลำบากด้วยกันเพิ่มอีก 6 คน (ฮา…) รวมผมเป็น 7 คน ซึ่งการเดินทางจาก กทม. ที่เหมาะกับพวกเราที่สุดก็ต้องรถทัวร์จากสายใต้ มีหลายบริษัทหลายรอบให้เลือก ใช้เวลาเดินทางราว 12 ชั่วโมง บวกลบนิดหน่อยตามสภาพการจราจร เราขึ้นรถรอบ 19.10 น. ถึง บขส.นคร 7.20 น.

หลับๆ ตื่นๆ มาเช้าที่ บขส.นครศรีธรรมราช มีรถสองแถวเหมาที่อุทยานฯ ติดต่อไว้ให้มารับพวกเราไปแวะกินข้าว ซื้อของเพิ่มเติม ก่อนมุ่งหน้าต่อไปหน่วยพิทักษ์ฯ น้ำตกอ้ายเขียว อำเภอพรหมคีรี ห่างจากตัวเมืองแค่ 30 กิโลเมตร

ลงทะเบียนขออนุญาตใช้เส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะไกล จ่ายค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายเจ้าหน้าที่นำทาง เตรียมตัวออกเดิน ทริปนี้มีพวกเรา 7 คน เจ้าหน้าที่อุทยานฯ 2 คน ไม่มีลูกหาบแบกสัมภาระเองทั้งหมด

ทุกอย่างพร้อม พวกเราเริ่มเดินจากน้ำตกอ้ายเขียวประมาณสิบโมง เส้นทางจะไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามธารน้ำตกจนถึงหนานระฟ้า หรือพูดง่ายๆ ว่าไล่ขึ้นไปทางต้นน้ำของน้ำตกนั่นเอง

ต้องบอกว่าป่าทางใต้สวยสมบูรณ์มาก มองทางไหนก็เขียวชอุ่ม เป็นเสน่ห์ของป่าฝนดิบชื้นที่ต่างจากป่าทางภาคเหนือโดยสิ้นเชิง เทรลเดินก็เล็กๆ ไม่ชัดเจน จึงต้องมีเจ้าหน้าที่คุมหน้าคุมหลังกันพลัดหลงหรือเกิดอุบัติเหตุ

หลังเหนื่อยหอบแฮ่กกับการขึ้นเขามาสักพัก ราวบ่ายโมงเรามาแวะนั่งพักที่จุด “ไทรกวาดลาน” กินข้าวเหนียวไก่ย่างหมูทอดซึ่งซื้อมาเป็นเสบียงเติมพลังให้เรียบร้อย พร้อมกับสภาพอากาศที่เริ่มเปลี่ยนไป จากฟ้าเข้มแดดจัดกลายเป็นมีเมฆครึ้มเข้าปกคลุม

นี่สินะ… เขาหลวง

หากมีแค่เมฆคงไม่เท่าไหร่ เพราะหลังจากเดินอีกสักพักผ่านชั้นน้ำตกที่เรียกว่า “วังอ้ายเล” แป๊บเดียว เม็ดฝนก็โปรยลงมา จากเม็ดเล็กๆ ให้พอเปียกชุ่มกลายเป็นเม็ดใหญ่ๆ กระหน่ำไม่บันยะบันยัง ทางเดินที่ยากอยู่แล้วจึงยากขึ้น สัมภาระที่หนักอยู่แล้วก็หนักขึ้น

ฝนตกพื้นเปียกก็ต้องมาพร้อมกับอีกหนึ่งอุปสรรคคือ “ทาก” เพื่อนรักนักดูดเลือดของนักเดินป่านั่นเอง ตลอดระหว่างทางที่ผ่านมาพวกเราก็โดนทากไต่บ้าง ขบเบาๆ บ้าง ดูดเลือดบ้างประปรายพอขำๆ แต่พอฝนตกเท่านั้นเราก็กลายเป็นเหมือนอาหารรสเลิศบนงานเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ของพวกมัน

“ฝนตกนี่ไม่ต้องเสียเวลาดูเลย หยุดมันไม่อยู่แล้ว ถึงแคมป์ค่อยว่ากันทีเดียว” เจ้าหน้าที่บอก เพราะจากหนึ่ง เป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่ ยาวต่อไปจนขี้เกียจจะนับที่พวกเราโดนทากรุม บางแผลต้องให้มันกินจนเลือดโชกอิ่มหนำแล้วสลัดหลุดไปเอง

เปียกปอน ฝ่าฝน ฝ่าดงทาก ลื่นล้มหัวคะมำเล่นสไลเดอร์กับดินเปียกๆ จนสักสี่โมงกว่าเมฆฝนถึงลอยพ้นไปให้เราพอโล่งใจขึ้นนิดหน่อย กว่าจะถึงแคมป์หนานระฟ้าก็ล่วงเวลาเกือบห้าโมงเย็น

ทำเลตั้งแคมป์ถือว่ายอดเยี่ยมเลยล่ะ ขนาดและระยะห่างของต้นไม้กำลังดีต่อการผูกเปล พื้นเรียบสำหรับกางเต็นท์อาจมีไม่เยอะ แต่พวกเรามีคนนอนเต็นท์หลังเดียวจึงไม่ต้องแย่งที่กัน มีน้ำสะอาดจากผืนป่าให้ใช้ไม่อั้น คืนนี้คงนอนฟังเสียงลำธารกันเสนาะหู

ป่าฝนกับน้ำตกเป็นของคู่กันจริงๆ

อุปสรรคเดียวของพวกเราเห็นจะเป็นทากนี่แหละ ความชื้นแฉะจากฝนตอนบ่ายทำให้เรายังอยู่กลางวงบุฟเฟ่ต์ของมัน ยิ่งคนไหนโดนดูดมีกลิ่นเลือดติดแผลก็จะยิ่งโดนรุมซ้ำ ทำเอาเลือดโชกเลือดอาบหมดทิชชู่หมดพลาสเตอร์ยาจนเกลี้ยง

แต่ถึงอย่างนั้นทากก็ทำได้แค่เพียงให้เรารำคาญ มันหยุดความสุขจากการตั้งแคมป์กลางป่าใหญ่แบบนี้ไม่ได้หรอก


(2)

เช้าวันใหม่มาถึงพร้อมกับอากาศสดใส ฟ้าสวย แดดดี พอให้เราได้สะสางสัมภาระที่เละเทะกันบ้าง สภาพแคมป์เมื่อคืนค่อยดูเหมือนแคมป์พักแรมขึ้นหน่อย ไม่ใช่ค่ายผู้อพยพหนีฝน (ฮา…)

อันที่จริงตอนแรกวันนี้เรามีคิวเคลียร์ของแบกเป้เดินขึ้นไปนอนบนแคมป์เนินลมฝน แต่เพราะสภาพอากาศเมื่อวานช่วงบ่ายที่ย่ำแย่ ทำให้เราเปลี่ยนแผนตกลงใหม่ว่าจะทำเพียงเดินตัวเปล่าขึ้นข้างบน แล้วกลับลงมานอนริมหนานระฟ้าจุดเดิม

เห็นน้ำตกหนานระฟ้าว่าสูงไหมล่ะ นั่นแหละเราต้องขึ้นไปบนนั้น รวมถึงเดินต่อไปอีกหลายกิโลเมตร เส้นทางไม่ง่ายเลยแต่ก็เขียวชอุ่มเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าสวยๆ เดินไปถ่ายรูปไปถึงจะเหนื่อยก็ยังเพลิดเพลินใจ

เราเริ่มเดินจากหนานระฟ้าสิบโมงครึ่ง พอเที่ยงก็มาอยู่ที่ห้วยเขียว เป็นลำธารเล็กๆ ล้อมรอบด้วยความเขียวขจีอย่างที่สุด

สภาพอากาศช่วงบ่ายเป็นไปตามที่คาดไว้ จากแดดดีตอนเช้ากลายเป็นฟ้าเริ่มครึ้มปกคลุมด้วยเมฆฝน จากห้วยเขียวยังต้องเดินอีกประมาณเกือบชั่วโมงจึงถึงแคมป์เนินลมฝน พวกเรารีบเดินเร็วขึ้น ด้วยหวังว่าจะทันเวลาพอให้เห็นวิวข้างบนบ้างสักหน่อย

ถึงแคมป์เนินลมฝน ลำธารเล็กๆ ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของน้ำตกใหญ่ข้างล่าง ไล่ลงไปตั้งแต่ หนานระฟ้า วังอ้ายเล ไทรกวาดลาน น้ำตกอ้ายเขียว ซึ่งหากแบกเป้ขึ้นมาด้วยเราจะนอนกันตรงนี้แหละ

ยอดเนินลมฝนเดินอีกไม่ถึงห้านาที เราขึ้นมาชนิดที่มีเวลาอึดใจเดียวจริงๆ ที่ฟ้าพอเปิดให้เห็นวิวบนเขาความสูง 1,4000 เมตร อยู่บ้าง จากตรงนี้มองเห็นยอดฝามีความสูง 1,600 เมตร อยู่ไม่ไกล จุดนั้นต้องใช้เวลาเพิ่มอีกคืนหากต้องการไป (ไว้คราวหน้าแล้วกัน)

ไม่นานนักทั้งเมฆทั้งหมอกก็ไหลเข้าปกคลุมภูเขาจนขาวโพลนไปทั่วสมกับชื่อว่าที่นี่คือเนินลมฝน

หลังนั่งอาบหมอก อาบลม และแกะทาก (ฮา…) อยู่บนเนินลมฝนจนประมาณบ่ายสองครึ่ง ซึ่งเราทำใจแล้วว่าฝนกำลังเริ่มตกและสภาพอากาศปิดเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจึงรีบเดินลงกลับไปยังแคมป์หนานระฟ้า

ขาขึ้นใช้เวลาพอสมควร แต่ขาลงกลับเร็วกว่าที่คิด ทำให้มีเวลาเหลือเฟือสำหรับการพักผ่อนเล่นน้ำที่หนานระฟ้า โชคดีว่าสภาพอากาศดีขึ้น ฝนไม่ตกลงมาซ้ำเติม ถือเป็นช่วงสบายๆ แห่งความสุขของทริปนี้เลยทีเดียว


(3)

เพราะเราตั้งแคมป์วันสองที่เดิม ทำให้วันเดินกลับไม่ต้องรีบมาก (หากขึ้นไปนอนลนเนินลมฝนไม่เกินเก้าโมงควรเริ่มเดินลงได้แล้ว) ใช้เวลาซึมซับบรรยากาศของป่าเขาอย่างสบายอารมณ์

กว่าเราจะเริ่มเดินลงจากหนานระฟ้าก็สิบโมงเศษ สภาพอากาศยังคงเหมือนสองวันที่ผ่านมาคือช่วงครึ่งวันแรกฟ้าสวยแดดเปรี้ยง นั่นเปิดโอกาสให้เราได้แวะถ่ายภาพน้ำตกตามชั้นต่างๆ เป็นที่ระลึกสักหน่อย หลังจากขาขึ้นได้แต่จ้ำหนีฝนจนไม่มีเวลาเชยชมความสวยงาม

บ่ายสองโมงครึ่ง เราทยอยกลับลงมาถึงน้ำตกอ้ายเขียวจนครบทั้ง 7 คน ทำธุระส่วนตัว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดกระเป๋าสัมภาระใหม่ให้พร้อมสำหรับการเดินทางกลับ

สองแถวคันเดิมมารับเราไปส่งที่ บขส. นครศรีธรรมราช มีเวลาเพียงพอสำหรับกินข้าว นั่งพักนั่งเล่นที่ร้านอาหารตามสั่งแถวนั้น ก่อนเดินทางกลับด้วยรถทัวร์รอบหกโมงเย็น ถึงสายใต้ใหม่ก่อนหกโมงเช้าเล็กน้อย

สามวันสองคืนกับทริปนี้ แม้จะเป็นเวลาที่สั้นมากสำหรับการเที่ยวเดินป่าเขาหลวง ที่ปกติจะเดินกันยาวจากหนึ่งยอดไปหนึ่งยอด ใช้เวลา 3 คืน 4 คืน หรือนานกว่านั้น แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ทำให้พวกทุกคนได้รู้จักกับป่าฝนเมืองใต้ ป่าที่ยิ่งใหญ่แห่งนครศรีธรรมราช ซึ่งต้องบอกว่าประทับใจมาก และเราเตรียมพร้อมเสมอที่จะกลับมาใหม่อีกครั้ง ในเส้นทางอื่นๆ ที่แตกต่างออกไป


ติดต่ออุทยานแห่งชาติเขาหลวง 075300494, ติดต่อหน่วยพิทักษ์น้ำตกอ้ายเขียว 0895887548 (หัวหน้าธีรศักดิ์)

การศึกษาธรรมชาติระยะไกลมีค่าใช้จ่ายดังนี้ 1. ค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท 2. ค่าธรรมเนียมค้างแรม 30 บาท ต่อคน ต่อคืน 3. ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง 1,500 บาท ต่อวันสำหรับเจ้าหน้าที่ 1 คน


ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller

About the author