ทริปเดินทาง 23-26 กุมภาพันธ์ 2560
ที่นี่… เขาเย็น ไม่ใช่ช่องเย็น (อช.แม่วงก์) และไม่ใช่สันเย็น (อช.ใต้ร่มเย็น) แต่เป็นเขาเย็น อุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า กำแพงเพชร ยังไม่ดังเท่าไหร่เพราะเพิ่งเปิดให้เที่ยวแค่สองปี แต่ก็นับเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินป่าระยะไกลที่น่าสนใจ เพราะกำแพงเพชรขึ้นชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าตะวันตกอยู่แล้ว
ผมเดินทางช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงสุดท้ายก่อนอุทยานฯ จะปิดป่าประจำปี ซึ่งการเดินป่าเขาเย็น มีสองเส้นทางคือ ยอด 1800 กับยอด 1900 (หมายถึงความสูง) แต่ละยอดก็แต่ละเส้นทาง โดยยอด 1800 เปิดให้เที่ยวก่อน ส่วนยอด 1900 เพิ่งสำรวจเส้นทางปีเมื่อที่แล้ว เริ่มรับนักท่องเที่ยวบางกลุ่มในปีนี้ อุทยานฯ มีแผนอาจสลับเปิดกันแต่ละปีจะได้เป็นการทะนุถนอมผืนป่าไปในตัว
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกับชื่อของวังเจ้าสักนิดเพราะมันน่าสับสน คือคลองวังเจ้าเป็นคลองธรรมชาติ กั้นแดนระหว่างอำเภอโกสัมพีนคร จังหวัดกำแพงเพชร กับอำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก ส่วนอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า ครอบคลุมพื้นที่ทั้งฝั่งกำแพงเพชรและตาก ทว่าที่ทำการฯ และถนนเข้าอุทยานฯ อยู่ฝั่งกำแพงเพชร ไม่สามารถเข้าจากฝั่งตาก ดังนั้นเมื่อพูดถึงวังเจ้า ต้องระบุให้ดีว่าอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้าในจังหวัดกำแพงเพชร หรืออำเภอวังเจ้าในจังหวัดตาก
นอกจากนี้ อช.คลองวังเจ้า ยังกินพื้นที่ทั้งอำเภอโกสัมพีนคร และอำเภอคลองลาน ที่ทำการฯ อยู่เขตโกสัมพีนคร แต่จุดที่เราเดินป่าหลักๆ น้ำตกเต่าดำ ยอด 1800 ยอด 1900 เลยเข้าไปในเขตคลองลานแล้ว
ยิ่งอธิบายยิ่งงงแฮะ ว่าไหมครับ (ฮา…)
(1)
ทริปนี้ผมแบกเป้เดินทางจากโคราชครับ วิธีการคือนั่งรถโดยสารไปลงพิษณุโลก แล้วต่อรถสู่ บขส.กำแพงเพชร ไปถึงเช้าๆ ประมาณเจ็ดโมงกว่า จากนั้นนั่งรถสองแถวสีแดง กำแพงเพชร-อ.วังเจ้า-ตาก ลงปากทางเข้าอุทยานฯ ริมถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข 1) อำเภอโกสัมพีนคร จากจุดนี้เข้าไปอีก 20 กิโลเตร วิธีแสนคลาสสิคคือ… โบกสิครับ
ค่อนข้างโชคดีครับ โบกเพียงสองต่อก็มาอยู่หน้าด่านตรวจอุทยานฯ แล้ว เดินเข้าไปสักหนึ่งกิโลเมตรก็ถึงลานกางเต็นท์ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ระยะทางแค่นี้เมื่อเทียบกับที่จะต้องเดินพรุ่งนี้ ถือว่าใกล้เหลือเกิน (ฮา…)
อช.คลองวังเจ้า เป็นอุทยานฯ นักท่องเที่ยวไม่เยอะจึงไม่มีอาหารขายในวันธรรมดา ร้านสวัสดิการมีแค่มาม่าคัพ ของจุกจิกเล็กน้อย วิธีแก้ปัญหาก็ไม่ยาก ยืมมอเตอร์ไซค์เจ้าหน้าที่ออกมาซื้อเสบียงเข้าไปตุนไว้ยังไงล่ะ
คืนนี้ผมกางเต็นท์นอนที่คลองวังเจ้า รอเพื่อนกลุ่มใหญ่ซึ่งจะเดินทางจาก กทม. มาสมทบตอนเช้า แม้ร้านอาหารจะเปิดบ้างปิดบ้าง แต่เรื่องลานกางเต็นท์ บ้านพัก ที่นี่ถือว่าโอเคมาก บรรยากาศดี ห้องอาบน้ำมีเยอะพอสมควร และอย่างที่บอกครับฝั่งที่ทำการฯ คือกำแพงเพชร หากข้ามคลองไปปุ๊บก็จะเป็นตาก เราเลือกได้เลยว่าจะนอนฝั่งจังหวัดไหน (ฮา…)
พอเลือกทำเลริมน้ำเหมาะๆ ก็กางเต็นท์โลด จากนั้นก็เดินเล่นสำรวจที่ทางในอุทยานฯ นั่นแหละ
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงมาก ตัดมาเช้าอีกวันเลย เมื่อเพื่อนๆ ตามมาถึงอุทยานฯ ก็เก็บเต็นท์ เตรียมสัมภาระพร้อมลุย รถกระบะหนึ่งคันสำหรับกรุ๊ปเรา และหนึ่งคันสำหรับอีกกรุ๊ปที่ขึ้นพร้อมกัน และเห็นว่ามีอีกหนึ่งหรือสองกรุ๊ปเดินป่าเส้นทางยอด 1800 ด้วย
รถโฟร์วีลพาเรากระเด้งกระดอนมาตามทางลูกรัง ระหว่างทางต้องผ่านบ้านโละโคะ หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงและม้งเป็นจุดเช็คอินแรก ก่อนต่อไปยังบ้านป่าคา จุดเช็คอินที่สอง ซึ่งการที่ชุมชนแต่ดั้งเดิมถางป่าทำไร่ทำนาอยู่ก่อนแล้วทำให้อุทยานฯ มีปัญหาเรื่องการดูแลป่าอย่างมาก เข้มเกินก็ไม่ได้ หย่อนเกินก็ไม่ดี เป็นอะไรที่แก้ไม่ตกจริงๆ และเข้าใจเหตุผลของทั้งสองฝั่งนั่นแหละ
หลังผ่านบ้านป่าคาไม่นาน ใช้เวลาบนรถราวสองชั่วโมง ระยะทางเกือบ 35 กิโลเมตร ในที่สุดก็มาถึงเราก็มาถึงโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงป่าคา ซึ่งเป็นจุดเริ่มเดินครับ
เอาล่ะ เตรียมความพร้อมครั้งสุดท้าย ดูนาฬิกาใกล้ๆ สิบเอ็ดโมงครึ่ง
พอเดินเข้าป่ามาปุ๊บนึกครึ้มใจทางช่วงแรกไม่ชันเท่าไหร่ แต่พ้นแค่ 200 เมตร เท่านั้นแหละ กลืนน้ำลายกันเลยทีเดียว สองมือเกาะก่าย สองเท้าจิกกันไป เรียกว่าออกแรงกันตั้งแต่เริ่มต้นเชียว
ทางเดินที่เขาเย็นต้องบอกว่าดิบจริงๆ สองข้างทางทึบมาก เส้นทางส่วนใหญ่ลาดชันสลับทางราบเล็กๆ บางช่วง หลายจุดต้องปีนป่ายโขดหินขึ้นไป แต่ถึงจะยากเย็นขนาดนี้ก็ยังเห็นแนวท่อน้ำซึ่งชาวบ้านมาต่อน้ำเอาลงไปใช้ที่หมู่บ้านอยู่เป็นระยะ
หลังจากใช้เวลาเดินบ้าง พักเหนื่อยบ้างราวห้าชั่วโมงก็มาถึงน้ำตกตรงนี้ เป็นสัญญาณอันดีเพราะแสดงว่าใกล้ถึงที่ตั้งแคมป์เต็มที เจ้าหน้าที่บอกว่าช่วยตั้งชื่อให้หน่อยสิ ยังไม่มีชื่อ… แหม มันจะไปยากอะไร น้ำตกคลองเขาเย็นนั่นแหละเหมาะที่สุดแล้ว
ผมกับเพื่อนสองสามคนสนุกอยู่กับการถ่ายภาพน้ำตก ปล่อยให้ก๊วนใหญ่เดินไปตั้งแคมป์ก่อน ถือเป็นข้ออ้างชั้นดีครับ เพราะพอเราถึงแคมป์ปุ๊บทุกอย่างก็เรียบร้อย ทั้งแคมป์กลาง ทั้งกองไฟทำอาหาร เราแค่กางเต็นท์จัดที่นอนของตัวเองพอ (ฮา…)
ป่าตรงนี้ดิบดึบ เปลก็ได้ เต็นท์ก็โอเค เลือกทำเลตามสะดวก แถมอยู่ข้างลำธารใสไหลเย็น ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำดื่มน้ำใช้ ถือว่าสบายสุดๆ
พวกเราช่วยกันลงมือหุงข้าว ทำอาหาร ตั้งวงกินกันกลางป่าเหมือนที่เคย เพื่อนหน้าใหม่บ้างหน้าเก่าบ้างเป็นธรรมดาของทริปแบบนี้ พูดคุยเฮฮาถึงเวลาอันสวรก็แยกย้ายเข้านอน มีเสียงน้ำ เสียงแมลง เสียงลม คอยกล่อมให้หลับสบาย
(2)
เป็นปกติที่เมื่อนอนกลางป่าเราจะตื่นเช้าโดยไม่ต้องให้ใครปลุก ตื่นมาสูดอากาศดีๆ ทำอาหารเช้า ดูแลความสะอาดพื้นที่ตั้งแคมป์ เก็บสัมภาระ พอได้เวลาสมควรแล้วค่อยเดินทางต่อ เจ้าหน้าที่บอกว่าเตรียมใจไว้เลย เพราะวันที่สองนี้โหดกว่าวันแรกอีก
โหดจริงๆ อย่างที่ว่าครับ เราอยู่ตรงลำธารในหุบเขา เพราะฉะนั้นการจะขึ้นยอดเขาจึงต้องปีนและปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สัมภาระซึ่งควรจะเบาลงกลับกลายเป็นรู้สึกว่ามันหนักขึ้น (ฮา…)
ประมาณเที่ยงเศษๆ จุดพักระหว่างทาง พวกเราแวะต้มมาม่า พักเหนื่อยกันตรงนี้แบบยาวๆ เพราะเหลืออีกไม่เท่าไหร่ก็ถึงยอดสูงสุดแล้ว หากขึ้นไปตอนนี้จะตากแดดร้อนเสียเปล่าๆ และที่สำคัญตรงนี้ยังเป็นจุดเติมน้ำครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นยอด เป็นไปได้พกเครื่องกรองน้ำมาด้วยจะดีมาก พอกินข้าวเสร็จ ต่างคนต่างหามุมเหมาะๆ นอนพักเอาแรงคนละงีบสองงีบ
ถึงเวลาเดินต่ออีกไม่นานเท่านั้นแหละ (เมื่อเทียบกับที่เดินมา) ก็พ้นแนวป่าทึบขึ้นถึงสันเขา ได้ชมวิวป่าวังเจ้าแบบเต็มสองตาสักที ทะยอยกันเดินเลาะสันเขาสักพักหนึ่งในที่สุดเราก็พิชิตเขาเย็นสำเร็จ ขึ้นถึงยอดความสูง 1,898 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ที่ตั้งแคมป์บนยอดมีจำกัด ขึ้นมาสองกรุ๊ปก็เบียดเสียดแล้ว เหมาะกับการนอนเต็นท์หรือปลาทู (ขึงฟลายชีตคลุมเป็นหลังคาแล้วนอนในถุงนอนง่ายๆ) ส่วนเปลพอผูกได้อยู่ทว่ามีแต่ต้นไม้อ่อน ค่อนข้างทุลักทุเลเล็กน้อย
หลังตั้งแคมป์และที่หลับนอนเสร็จก็ถ่ายรูปกันโลดสิ หยิบธงชาติที่เตรียมไว้มาโบกสะบัด แม้พื้นที่ชมวิวจะคับแคบ แต่หัวใจของทุกคนพองโตขนาดไหนคงไม่ต้องบอก
เฮฮาพักผ่อน พอใกล้เย็นหุงข้าวทำอาหาร แล้วเลือกมุมชมพระอาทิตย์ตกตามอัธยาศัย
พวกเราก่อไฟ กินอาหาร ล้อมวงคุยกันสรวลเส เรื่องที่คุยก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องเที่ยว เดินป่า เม้าส์มอยถึงทริปเก่าๆ ที่ไปลุยด้วยกันมา คุยกันไปผลัดเปลี่ยนเวียนจอกเสมือนหนึ่งกินน้ำร่วมสาบาน (ฮา…)
ค่ำคืนนี้ดาวสวยมากครับ น่าเสียดายว่าผมกล้องถ่ายรูปของผมไม่พร้อมเพราะกำลังนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนตัวลายครามที่หยิบมาใช้แก้ขัดถ่ายได้แค่ประมาณนี้ แต่ช่างเถอะเพราะภาพความสวยจริงๆ มันฝังอยู่ในใจแล้วล่ะ
(3)
เช้าวันใหม่… เหมือนคนไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ตื่นมาทำไมตั้งแต่ตีห้าก็ไม่รู้ ก่อกองไฟคลายควาเย็น ชงกาแฟร้อนๆ จิบสักนิด ความหวังจะได้เห็นทะเลหมอกนั้นไม่มีอยู่แล้ว เพราะปลายเดือนกุมภาแบบนี้มันแห้งสนิท
แต่นั่นแหละครับ ผมไม่ได้คาดหวังอะไรหรอก แค่อยากตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น รับเช้าวันใหม่อย่างสดใสเท่านั้นเอง
ข้อเสียของการนอนบนยอดเขาในฤดูที่ฟ้าเปิดมีอย่างเดียว… พอแดดแรงมันร้อนสุดๆ น่ะสิ
การนอนเล่นให้แดดเผาหัวมันสนุกซะที่ไหนกัน พอเริ่มร้อนก็ต้องเร่งกินข้าว เก็บของ ทำความสะอาดพื้นที่ แล้วแบกกระเป๋าเดินลงดีกว่า
ขาขึ้นว่ายาก ขาลงโหดกว่า ชันและลื่นดินสไลด์มากครับ ก้นจ้ำเบ้ากันไปคนละไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่ต้องบอกว่าทางแบบนี้นิ้วเท้าพังยับขนาดไหน (ฮา…) แต่พอพ้นทางลงชันมาแล้วก็เริ่มสบาย ทางจะวนเป็นวงกลมไปบรรจบกับช่วงสองกิโลแรกของขาเข้ามา แล้วกลับออกสู่โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงป่าคา
เจ้าหน้าที่พาเราแวะไปกินก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ ที่บ้านโละโคะ กลับถึงที่ทำการฯ อาบน้ำอาบท่า บางคนก็เล่นน้ำคลองวังเจ้านั่นเลย เป็นอันจบพิชิตยอดเขาเย็นแยกย้ายกันกลับบ้าน
เขาเย็นเป็นอีกเส้นทางที่เดินสนุกมากครับ ได้เห็นอะไรหลากหลายทั้งแง่ดีและไม่ดี และแม้ผมไม่คิดว่าจะมีเหตุอะไรให้กลับมาเยือนยอด 1900 แต่ก็คงไม่ใช่การเที่ยวป่าวังเจ้าครั้งสุดท้ายแน่นอน เพราะยังมียอด 1800 กับน้ำตกเต่าดำรอให้กลับมาทดสอบความฟิตอีก
แล้วเจอกันใหม่ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นนะเขาเย็น
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller