
ทริปเดินทาง : 21-23 มีนาคม 2563
เขาล้อน เขาโล้น เขาล่อน จะออกเสียงหรือสะกดอย่างไรก็มีความหมายเดียวกันคือเขาหัวโล้น ไม่ใช่โล้นเพราะป่าไม้ถูกทำลาย แต่เพราะบนยอดเขาที่สามารถมองเห็นทั้งทะเลอันดามันและอ่าวไทยได้รับอิทธิพลลมตะวันตกและตะวันออกสลับกันตลอดปี จึงมีเพียงต้นไม้เล็กๆ เตี้ยๆ ขึ้นเท่านั้น นึกดูแล้วน่าสนใจใช่ไหมล่ะ
เขาที่ผมพูดถึงชาวบ้านเรียกกันว่าเขาล้อน เป็นยอดเขาลูกหนึ่งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด จังหวัดพัทลุง-ตรัง มีการเปิดเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้นักผจญป่าเข้าไปเที่ยวชม มีหลายเส้นหลายยอดมาก เขาเจ็ดยอด เขานมสาว เขาหลัก ลูกเล็กลูกย่อยอีกเพียบ โดยทริปนี้เราเลือกเส้น หนานญี่ปุ่น-เขาล้อน เพราะว่ากันว่าสวยและยังมีโอกาสพบเจอสมเสร็จ สัตวป์ป่าหายากที่ยังมีอยู่บนเทือกเขาบรรทัดอีกด้วย

การเที่ยวที่นี่เหมือนกับป่าใต้หลายแห่ง สะดวกที่สุดคือติดต่อชาวบ้านหรือชมรมนำเที่ยวท้องถิ่น ซึ่งขายเป็นแพ็คเกจทัวร์ให้พร้อม ราคาคิดตามจำนวนวันและคนไป เฉลี่ย 3,000 – 3,500 บาทต่อคน โดยทางนั้นจะจัดการเรื่องเอกสารขออนุญาตเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าให้ มีคนนำทาง อาหารทุกมื้อ รถรับส่งจากจุดนัดพบ ที่เราต้องเตรียมไปเองมีแค่ของใช้เต็นท์เปลส่วนตัวเท่านั้น
(1)
ทริปนี้สมาชิกเก้าคน แต่มีผมคนเดียวเดินทางไปรอล่วงหน้าที่พัทลุงด้วยเหตุผลง่ายๆ คือคิดถึงรถไฟ อยากชิลๆ บนรถไฟชั้นสอง ตู้นอนปรับอากาศ เตียงบน ซึ่งเป็นอะไรที่ผมชอบเหลือเกิน แต่ขอบอกว่าวิธีนี้เหมาะเฉพาะกับคนเวลาเหลือเฟือเท่านั้นนะ
รถไฟไทยใจดีแถมเวลาเลทให้สองชั่วโมงครึ่งแบบไม่คิดตังค์เพิ่ม (ฮา…)


หนึ่งคืนที่พัทลุง ได้ทำความรู้จักกันแบบหอมปากหอมคอ เช้าตรู่วันถัดมาเพื่อนๆ ที่มารถตู้จากกรุงเทพจึงมารับผมที่ตัวเมือง แล้วเดินทางสู่บ้านคลองหรั่ง (คลองลำน้อย) ตำบลคลองทรายขาว อำเภอกงหรา จุดนัดพบของเรากับ “พี่ตรี” คนนำทาง

เตรียมของเสร็จสรรพก็ขึ้นรถโฟร์วีลไปจุดเริ่มเดิน พวกเรา 9 คน พี่ตรี ลูกหาบ 3 คน เจ้าหน้าที่เขตฯ 2 คน ที่ติดตามมาสำรวจป่า สถานที่ออกตัวคือป่ายางที่บ้านลำพลู ห่างจากบ้านพี่ตรีประมาณ 3 กิโลเมตร


เริ่มเดินปุ๊บก็ชันปั๊บแบบไม่ต้องวอร์มเครื่อง จากป่ายางช่วงแรกผ่านไปเกือบชั่วโมงค่อยเข้าสู่เขตป่าที่เขียวครึ้มมากขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้ใหญ่ขึ้นและแน่นอนว่าป่าสวยสดชื่นขึ้นอีก



สองชั่วโมงเศษๆ ที่เราต้องเดินไต่ระดับขึ้นมาแบบหอบแฮ่กจึงถึงแนวสันเขาเพื่อตัดลงหุบไปหาแหล่งน้ำ เป็นต้นน้ำของน้ำตกแพรทอง สักเที่ยงครึ่งมาพักกินข้าวที่แพรกร่วม จากนี้เราจะลัดเลาะลำห้วยขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงหนานญี่ปุ่นและจุดตั้งแคมป์ ฟังดูเหมือนง่ายๆ แต่นั่นต้องใช้เวลาอีกสามชั่วโมงโน่นแหละ



ข้ามลำห้วยไปข้ามลำห้วยมา ยังไงรองเท้าก็เปียกแน่นอนหนีไม่พ้นหรอก และถึงจะเป็นกลางฤดูร้อนในปีที่ใครต่อใครก็บ่นว่าแล้งจัด ป่าฝนแห่งเขาบรรทัดยังคงสดชื่นและมีน้ำไม่น้อย


มาถึงวังกินรี น้ำใสได้ใจ เพราะฉะนั้นจัดการเล่นน้ำกันสิ หลายคนบ่นร้อนทนไม่ไหวแล้ว


จากวังกินรี ผ่านมาถึงชั้นที่เรียกว่าน้ำตกพรสวรรค์ สิ่งที่ทำให้ยากและเหนื่อยคือเราต้องกระโดดต้องเดินไปตามก้อนหิน บางช่วงต้องปีนป่ายเล่นเอาแทบหมดแรง กลายเป็นว่าเดินง่ายกว่าในช่วงที่ต้องตัดเข้าป่า ชันแค่ไหนก็มาเถอะดีกว่าต้องเลาะไปตามก้อนหินเยอะ


สี่โมงเย็นโน่น หลังจากใช้เวลาหกชั่วโมงนิดๆ เราก็มาถึงหนานญี่ปุ่น เรียกชื่อนี้เพราะเมื่อก่อนเป็นฐานของกลุ่มสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ชาวป่าเหล่านี้มีค่านิยมแก้ผ้าอาบน้ำ เลยเรียกตรงนี้ว่าหนานญี่ปุ่นอ้างอิงถึงการเปลือยกายอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนรวมกันของชาวญี่ปุ่นนั่นไง ฟังดูทะแม่งๆ แต่พี่ตรีบอกว่าความเป็นมามันเป็นแบบนี้ล่ะนะ (ฮา…)


จากหนานญี่ปุ่นไปอีกแค่สิบนาทีก็ถึงจุดตั้งแคมป์ เป็นช่วงที่ลำธารสามสายมาบรรจบกัน พี่ตรีตั้งชื่อเองให้ว่าสามแยกไออุ่น ขอบอกว่าบรรยากาศดีมาก จะกางเต็นท์หรือผูกเปลเลือกตามสะดวก พื้นที่กว้างขวางทีเดียว



เรื่องอาหารการกินไม่ต้องทำเองครับ ลูกหาบจัดการให้หมด เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการมาเที่ยวทริปที่มีคนดูแลแบบนี้ คืนนั้นพวกเรานั่งล้อมวงเฮฮาตามประสาจนถึงเวลาค่อยแยกย้ายกันเปลใครเปลมัน เต็นท์ใครเต็นท์มัน

(2)
นอนริมน้ำในหุบไม่มีอะไรต้องรีบร้อนในยามเช้า ผมตื่นมานอนเล่นฟังเสียงลำธารไหลเย็นอยู่ในเปลสักพัก ก่อนจะลุกมาบิดขี้เกียจ ยืดเส้นยืดสายด้วยการเดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศ เป็นยามเช้าที่สดชื่นสุดใจ




เดินถ่ายรูปเพลินๆ กลับมานั่งกินข้าวกับเพื่อน เก็บของเก็บแคมป์เตรียมเดินทางต่อ รู้สึกคันยิบๆ ที่เท้า แบบนี้มีอย่างเดียวไม่ต้องสงสัย ทากตัวน้อยกำลังดูดฟินๆ เพลินๆ เลยทีเดียว ช่วงฤดูแล้งนี้ป่าเขาบรรทัดก็ยังมีทากพอประมาณโดยเฉพาะแถวริมน้ำ เป็นปกติของการเดินป่าครับ ตัวนี้ก็ไม่ใช่ตัวแรกของผมในทริป เป็นตัวที่สามที่สี่แล้วล่ะมั้ง

ก่อนสิบโมงเล็กน้อยพวกเราก็พร้อมเดินทางต่อ เริ่มไต่ขึ้นไปตามลำห้วยสายเล็ก ตัดเข้าป่าเขียวๆ ทำระดับขึ้นต่อไปเรื่อยๆ สภาพป่าเดือนมีนาคมถึงจะไม่ชอุ่มแต่ก็ยังถือว่าเขียวสวยอยู่พอสมควร



เหนื่อยมาหนึ่งหอบใหญ่ นั่งแวะพักระหว่างทางก่อนต้องไต่ทางชันอีกรอบ รู้สึกคันยิบที่ขาอีกรอบ เอาอีกแล้วสินะ ถลกกางเกงขึ้นดูก็ไม่มีอะไรผิดคาด

เอาล่ะ ใช้เวลาสองชั่วโมงจากตอนเริ่มเดินเราก็มาถึงป่าโบราณ ป่าดิบชื้นที่ปกคลุมไปด้วย มอส เฟิร์น กล้วยไม้ และต้นไม้รูปร่างแปลกตา


จากป่าโบราณอีกแค่สิบนาที ในที่สุดเราจึงหลุดจากแนวต้นไม้สูงใหญ่โผล่ออกมายังภูเขาหัวโล้นซึ่งปกคลุมด้วยพืชเตี้ยๆ ได้เห็นวิวสวยเขียวของป่าเขาบรรทัดแบบสุดสายตาสักที ตรงนี้ยังไม่ใช่ยอดเราเลยแค่แวะถ่ายรูปกันสักพักก็พอ



แคมป์ที่สองของเราอยู่ในหุบห่างจากตรงนี้นิดเดียว พื้นที่ค่อนข้างจำกัด กว่าจะหาทำเลเหมาะๆ ได้ครบทุกคนก็ลำบากอยู่ ผมเขยิบไปผูกเปลลึกทีเดียว ขณะที่แหล่งน้ำอยู่ห่างออกไปสิบห้านาที ลูกหาบจะจัดการเรื่องนี้ให้ครับ


บ่ายสองโมงครึ่ง นอนอยู่เฉยๆ ก็เสียเวลาเปล่า ขึ้นยอดเขาล้อนชมวิวดีกว่า ชวนเพื่อนไปด้วยกันอีกสองคน เดินคลำทางไปเองไม่ยาก เพราะมีแต่พืชเตี้ยๆ ปกคลุมทั้งเขา ไม่มีไม้ใหญ่เลย ระหว่างทางเห็นมูลสมเสร็จตามพื้นเป็นระยะ เป็นสัญญาณว่าพวกมันอาศัยอยู่แถบนี้จริงๆ

วิวบนเขาล้อนสวยจริงเชียว มองทิศตะวันตกเป็นจังหวัดตรังและทะเลอันดามัน มองทิศตะวันออกเห็นเมืองพัทลุงกับทะเลสาบลำปำ (ทะเลสาบสงขลาตอนบนนั่นแหละ) หากฟ้าเคลียร์ๆ สามารถมองเห็นอ่าวไทยที่อยู่ไกลออกไปอีก
เขาบรรทัดทอดตัวเป็นแนวยาวพาดจากทิศเหนือไปใต้ นอกจากมองเห็นสองจังหวัดสองฝั่งทะเลแล้ว จากจุดเขาล้อนที่เราอยู่หากหันไปทางใต้จะเห็นเขานมสาวหรือเขาล้อนนมสาว ส่วนเขาเจ็ดยอดอยู่เลยออกไปมองไม่เห็น ถ้าหันทิศเหนือจะเห็นเขาหลัก ยอดสูงสุดของเทือกเขาบรรทัด 1,355 เมตร ทุกยอดที่ว่ามีชมรมนำเที่ยวท้องถิ่นพาไปได้ครับ



ผมนั่งเล่นชมวิวอยู่บนยอดเขาล้อนเพลินๆ พอใกล้เย็นเมฆฝนครึ้มเริ่มลอยมาปิดแสงอาทิตย์ได้ภาพสวยๆ อีกฟีล


หลังจากนั้นไม่นานลมเริ่มแรงพัดหมอกขาวโพลนมาเต็ม นี่แหละเป็นสภาพที่ทำให้ยอดเขาต่างๆ บนเทือกเขาบรรทัดถึงไม่มีต้นไม้ใหญ่สักเท่าไหร่

พอฟ้าปิดพวกเราก็ได้เวลากลับแคมป์ มีข้าวปลาอาหารและเครื่องดื่มคลายหนาวรออยู่

(3)
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นก่อนหกโมง เปลี่ยนเสื้อผ้าถือไฟฉายเดินขึ้นยอดเขาล้อนรอชมแสงแรกของวัน ขณะที่กำลังรอเวลา สายตาของเพื่อคนหนึ่งก็เหลือบไปเห็นจุดขาวๆ เล็กๆ แทบกลืนไปกับต้นไม้แคระที่อยู่บนไหล่เขาลูกถัดจากเรา
เห้ย… สมเสร็จ ทุกคนแทบร้องพร้อมกัน สมเสร็จตัวเป็นๆ ถึงจะอยู่ไกลลิบเห็นแค่เพียงจุดเล็กๆ แต่มันก็เป็นตัวจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

พี่ตรีและลูกหาบบอกว่าขนาดพวกเขาเองขึ้นมาหลายสิบรอบก็เพิ่งจะได้เห็นตัวเป็นๆ ครั้งแรกวันนี้ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่เขตฯ ซึ่งขอไฟล์รูปจากผมเพื่อเอาไปรายงานหัวหน้า พวกเราโชคดีแค่ไหนมาเที่ยวครั้งแรกก็เจอแล้ว แอบเซ็งคือทริปนี้ผมวางเลนส์เทเลไว้ที่บ้าน เวลาจะใช้ทีไรทำไมต้องไม่เอามาด้วยทุกที เลยต้องซูมดูกันสุดฟังก์ชั่นกล้องล่ะนะ (ฮา…)

สมเสร็จหายตัวแว้บไประหว่างที่เรากำลังง่วนกับการถ่ายแสงแรกที่โผล่พ้นขอบเมฆ แม้วันนี้จะไม่มีทะเลหมอก แต่แสงของเช้าวันใหม่ที่สาดส่องกระทบยอดเขาเรียงรายก็สวยงามน่าประทับใจ




เหมือนทะเลหมอกอยู่ในหุบไกลออกไป ดูจากลาดเลาถ้าอยู่แถวๆ เขานมสาวน่าจะสวยทีเดียว

ภารกิจทุกอย่างลุล่วง พิชิตยอดเขาล้อน ได้แสงสวยๆ ได้เห็นสมเสร็จ พวกเรากินข้าวเก็บแคมป์ สักเก้าโมงครึ่งก็เริ่มทยอยเดินลง ขาขึ้นใช้เวลาหนึ่งคืน ระยะทางราว 14 กิโลเมตร เป็น 10 กิโลเมตร ถึงแคมป์แรก และ 4 กิโลเมตร ถึงแคมป์สอง แต่วันกลับเราจะเดินรวดเดียว 4 กิโลเมตร กลับแคมป์แรก แล้วแยกไปลงอีกทาง 6 กิโลเมตร
ช่วง 6 กิโลเมตร หลังนี่แหละที่โหดจัดไม่แพ้วันแรก เพราะต้องตัดขึ้นสันเขาสุดชัน จากนั้นค่อยลงดิ่งสับขากันเป็นระวิง ขึ้นสุดลงสุดจะเร้าใจกันไปถึงไหน

เริ่มเดินเก้าโมงครึ่ง ประมาณบ่ายสามโมงพวกเราทุกคนก็พร้อมหน้าตรงจุดสิ้นสุดที่รถมารอรับ แวะพักผ่อนให้ชื่นใจริมลำธาร ซดน้ำอัดลมเย็นๆ สักกระป๋อง ก่อนนั่งโฟร์วีลกลับไปบ้านพี่ตรี อาบน้ำอาบท่า เคลียร์ความเละเทะทั้งหลาย



เพื่อนเดินทางกลับ กทม. ด้วยรถตู้ แต่ผมยังสไตล์เดิม ตั้งใจอยู่เที่ยวต่อสักพักแล้วค่อยนั่งรถไฟกลับ พอดีดันเกิดสถานการณ์โควิดน่าเป็นห่วง สุดท้ายเลยตีตั๋วรถไฟกลับบ้านเร็วกว่าที่คิด ยังไม่ได้เที่ยวเมืองลุงให้ทั่วอย่างที่ต้องการเลย
แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ เขาบรรทัดน่ะผมหลงรักเต็มเปาเสียแล้ว ยอดนั้นยอดโน้นยอดนี่หรือยอดไหนก็น่าไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นสักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วคงได้นั่งรถไฟกลับมาพัทลุงอีกแน่นอน
ว่าแต่ว่ายอดต่อไปของเทือกเขาบรรทัด จะเลือกยอดไหนดีนะ…
ข้อมูลสักนิดก่อนไปเที่ยว
- อยู่ที่อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด
- ติดต่อทริป พี่ตรี 0980799981 ค่าใช้จ่ายคนละ 3,500 บาท ราคานี้รวมอาหารหลัก 7 มื้อ ของหวานกาแฟ เสบียงเล็กๆ น้อยๆ และรถรับส่งจากจุดนัดพบบ้านพี่ตรี
- เที่ยวได้ตลอดปี ติดต่อล่วงหน้าอย่างน้อยสองสัปดาห์ เพราะต้องทำหนังสือขออนุญาตทางเขตฯ
- ต้องเตรียมของใช้ส่วนตัวเอง ไม่มีลูกหาบสำหรับนักท่องเที่ยว หากต้องการมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- เส้นทางเดินเท้า 3 วัน 2 คืน รวมระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร
- มีแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นระยะ วันแรกตั้งแคมป์ริมลำห้วย วันสองตั้งแคมป์บนเขา ลูกหาบจะเอาน้ำมาให้
- มีทากตลอดทั้งปีโดยเฉพาะบริเวณใกล้แหล่งน้ำ หน้าฝนมีเยอะ หน้าแล้งมีน้อย
- ต้องเดินลุยน้ำในวันแรก รองเท้าสตั๊ดดอยเหมาะมากสำหรับทริปนี้
- สามารถกางเต็นท์หรือผูกเปลก็ได้ แคมป์สองจะพื้นที่จำกัดกว่าแคมป์แรก
- มีสัญญาณโทรศัพท์บนยอดดอย
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller
