
ทริปเดินทาง : 11-13 กันยายน 2563
วะคอโกร แค่ฟังชื่อก็รู้ว่าเป็นภาษากะเหรี่ยง แค่ฟังชื่อก็รู้ว่าเป็นน้ำตก และถ้าให้เดาขอเดาว่ามันต้องอยู่แถวอำเภออุ้มผางแน่ๆ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นแหละครับ เพราะนี่คือพิกัดเดินป่าใหม่เอี่ยมของอุ้มผาง ที่เพิ่งเริ่มมีรีวิวมีเรื่องเล่าในโซเชียลไม่นานนี้เอง
มารู้จักที่นี่กันก่อน “วะคอโกร” เป็นน้ำตกซึ่งอยู่บนดอยสามหมื่น หรือดอยมะม่วงสามหมื่น เหมือนน้ำตกปิตุ๊โกร น้ำตกรูปหัวใจที่กำลังดังนั่นแหละ เพียงแค่อยู่คนละฝั่งเขา ปิตุ๊โกรอยู่ทางซ้าย ส่วนวะคอโกรอยู่ทางขวา การจะเข้าไปเที่ยวก็เหมือนกันคือต้องมีไกด์จากบ้านกะเหรี่ยงกุยเลอตอนำทาง

ผมเพิ่งได้ยินชื่อวะคอโกรไม่นาน ก็ตั้งแต่มีสายป่าเข้าไปเอาข้อมูลมาเผยแพร่นี่แหละ พอดีกับว่ามีเพื่อนทำรีสอร์ทนำเที่ยวอยู่อุ้มผาง เมื่อได้รับคำชวนว่าลองไปลุยเส้นนี้กันไหมเลยรีบตอบตกลงแบบไม่เสียเวลาคิด
(1)
ทริปนี้พวกเรากระจัดกระจายเดินทางไปรวมตัวที่แม่สอด ผมนั่งรถทัวร์ บขส. ที่หมอชิต บอกเลยว่ารถสายแม่สอดเนี่ยเป็น ป.1 ที่นั่งสบายที่สุดแล้ว รอบสามทุ่มเป็นรอบประจำ หากวันไหนรถไปได้เร็วก็ถึงสักตีสี่ครึ่ง เลทหน่อยก็ตีห้าครึ่ง

ถึงแม่สอดแล้วต้องต่อเข้าไปอุ้มผางผ่านถนนพันโค้ง เราต้องทำเวลาหากรอสองแถวประจำทางคงไม่ทันกิน เพราะฉะนั้นก็ตกลงเหมาคันแล้วกัน ได้มาราคาสองพันถือว่าเป็นเรตไม่แพงครับ เพราะนั่งประจำทางปกติก็คนละ 150 บาทแล้ว


นั่งไปสัปหงกไปมึนหัวไป แวะพักรถที่อุ้มเปี้ยมกินข้าว ประมาณสี่ชั่วโมงก็ถึงจุดหมาย ดอกเสี้ยวทัวร์ รีสอร์ทนำเที่ยวของเพื่อนผมเองแหละ แต่ แต่ แต่ แต่… นี่แค่ถึงอุ้มผางนะครับ ยังต้องมีต่อที่สามคือจากอุ้มผางไปบ้านกุยเลอตอ
ตาก – แม่สอด > 90 กม. ต่อด้วย แม่สอด – อุ้มผาง 170 กม. นี่คือจังหวัดเดียวกันนะ แล้วต้องมาต่อ อุ้มผาง – กุยเลอตอ 70 กม. บนสภาพถนนสามพันหลุมสี่พันบ่ออีกชั่วโมงครึ่ง สาบานเถอะว่านี่คืออำเภอเดียวกัน (ฮา…) จำไว้นะครับเวลาคนชวนเที่ยวตาก ให้ถามด้วยว่าเที่ยวตากหรือเที่ยวอุ้มผาง เพราะระยะทางมันคนละโยชน์กันเลย

ในที่สุดบ่ายสามโมงนิดๆ เราจึงมาถึงจุดเริ่มเดินบ้านกุยเลอตอ ซึ่งปกติถ้าเหมารถตู้มาจาก กทม. สักแปดเก้าโมงคงได้เดินแล้ว แต่หากมาชิลๆ แบบผมมันก็จะอย่างนี้แหละ ถือคติว่าเดินทางช้าจะได้ซึมซับบรรยากาศนานๆ
รวมพลครบ พวกผม 8 คน ลูกหาบ 3 คน ใช้เยอะหน่อยเพราะเพื่อนผู้หญิงเยอะ


จ่ายค่าบำรุงสถานที่คนละ 20 บาท แล้วเดินเข้าทางเดียวกับปิตุ๊โกรเลยครับ เดี๋ยวนี้มีทำซุ้มด้านหน้าอย่างดี

ทางช่วงแรกก็ลุยน้ำลุยโคลนตามระเบียบ เดินที่นี่แนะนำสตั๊ดดอยสะดวกที่สุด จะย่ำยังไงจะเละยังไงก็หมดกังวล คู่ละแค่ไม่กี่สิบบาท ดีกว่าใส่คู่ละหลายพันแล้วต้องมากลัวรองเท้าพังนะ


จากนั้นจะผ่านไร่ชาวบ้านทีละไร่สองไร่ เดินบนทางดินลูกรัง วันนี้ฟ้าดีเห็นดอยสามหมื่นเด่นอยู่ข้างหน้า

เราเริ่มเดินจากทางเข้าราวบ่ายสามครึ่ง ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสามแยกตรงนี้ ซ้ายที่เขียนว่าไปน้ำตกหมายถึงปิตุ๊โกร ส่วนพวกเราก็ใช้แยกขวาเพื่ออ้อมไปอีกฝั่งของภูเขา

ลุยน้ำ ลุยโคลน ผ่านไร่ชาวบ้าน เดินตากแดดอีกเรื่อยๆ ทางช่วงนี้อยู่ตีนเขายังไม่ชันมาก แค่ขึ้นเนินลงเนินนิดหน่อย เป็นช่วงวอร์มอัพร่างกาย



สักห้าโมงเย็นโน่นแหละจึงจะพ้นไร่สุดท้ายเปลี่ยนเป็นทางเข้าป่าขึ้นเขาจริงจัง สัมภาระที่เคยแบกสบายก็เริ่มถ่วงหลังมากขึ้นตามระเบียบ ระหว่างทางเจอต้นไม้ใหญ่สวยๆ หลายต้นทีเดียว



ใกล้หกโมงครึ่งมาถึงลำธารวะคอโกรซึ่งไหลมาจากด้านบน จากตรงนี้เหลืออีกประมาณ 40 นาทีจะถึงแคมป์ แต่จากเวลาที่เห็นก็นั่นแหละครับ พวกเราต่างคนต่างต้องหยิบไฟฉายขึ้นมาถือมาคาดหัวกันให้เรียบร้อย

จากนี้เราต้องไต่ขึ้นไปตามชั้นน้ำตกท่ามกลางแสงไฟฉายนำทาง สักทุ่มกว่าๆ จึงถึงจุดหมายในที่สุด พร้อมเรื่องเซอร์ไพรส์คือมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มมาจับจองพื้นที่ตั้งแคมป์ไว้ก่อนแล้ว สอบถามได้ความว่านั่งรถตู้มาจาก กทม. เข้าป่ามาถึงที่นี่ตั้งแต่ตอนที่พวกเราเพิ่งเริ่มเดินนั่นแหละ (ฮา…)
เสียทำเลทองไปแล้วเราเลยต้องหาทำเลใหม่ โชคดีว่าได้ที่เหมาะๆ อยู่เหนือขึ้นไปอีกไม่ไกล ขอยกให้ที่เรานอนว่าเป็นแคมป์สองแล้วกัน อยู่ติดลำธารใช้น้ำท่าสะดวกไม่ต่างจากแคมป์แรก รีบกางเต็นท์ผูกเปลให้เรียบร้อย จากนั้นก็ได้เวลาพักผ่อน ล้อมวงทำกับข้าว กินข้าว กับเครื่องดื่มเล็กๆ น้อยๆ สักทีล่ะนะ (ฮา…)

สรุปวันนี้เราเริ่มเดินราวบ่ายสามโมงครึ่งถึงแคมป์ทุ่มครึ่ง ใช้เวลาสี่ชั่วโมง เดินตีนเขาครึ่งทาง เข้าป่าอีกครึ่งทาง ระยะทางผมไม่ได้วัดจริงจังแต่คร่าวๆ น่าจะอยู่ราว 8-9 กิโลเมตร
(2)
การตั้งแคมป์ริมธารนอกจากมีน้ำใช้สะดวก อีกสิ่งที่ผมชอบไม่แพ้กันคือการได้ฟังเสียงน้ำไหลเพลินๆ เหมือนเสียงช่วยขับกล่อมให้นอนหลับสบาย
นี่แหละครับสภาพแคมป์ของเรายามเช้าวันใหม่ อยู่ริมลำธาร ผูกเปลกางเต็นท์ได้พอประมาณแต่ไม่มากนัก กลุ่มสักสิบคนกำลังอบอุ่น มากกว่านั้นคงแออัด ซึ่งแคมป์แรกข้างล่างจะมีพื้นที่มากกว่า


หลังทำกิจกรรมชาวแคมป์เรียบร้อย วันนี้เราจะเดินขึ้นไปจนถึงหัวน้ำตกวะคอโกร ทางค่อนข้างชันมีแต่ขึ้นกับขึ้น ดีว่าเดินตัวเปล่าเอาไปเฉพาะของกินกลางวันเท่านั้น ช่วยเบาแรงได้เยอะ


เริ่มเดินเก้าโมงครึ่ง สักหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงไหล่เขา เห็นวิวเห็นหน้าผาเห็นแนวภูเขาที่จะขึ้นไป รวมถึงเห็นน้ำตกวะคอโกรแล้ว โอ้โห… สวยสูงจริงๆ แม้ปีนี้ฝนจะขาดน้ำจะแล้งทำให้มีน้ำไม่เยอะแต่ยังจัดว่าสวยอยู่ดี


ตะกายต่อขึ้นมา สิบเอ็ดโมงครึ่งมาพักตรงนี้นานเลย… เหนื่อยหรือ? เปล่าหรอก ก้มหน้ากดมือถือกันนะสิ เพราะเป็นจุดแรกที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตของ เอไอเอส กับ ทรู จากนี้ไปจะมีจนถึงยอดเขาแหละครับ เอาใจคนขาดการติดต่อในโลกโซเชียลไม่ได้

โพสต์เฟซ อัพสตอรี่ ไอจี เสร็จเรียบร้อย แหงนมองขึ้นข้างบนถึงกับร้องอาาาาาาาาาา อะไรมันจะชันขนาดนั้น จากจุดนี้เราต้องปีนป่ายหน้าผาความชันสัก 60 องศา เกาะแน่นๆ จิกแน่นๆ อย่าให้พลาดเชียว ที่ว่ากันว่าต้องแปลงร่างเป็นเลียงผาเป็นแพะภูเขามันเป็นแบบนี้นี่เอง


ทีละก้าว ทีละกระดิ๊บ ขึ้นมาเรื่อยๆ วิวป่าอุ้มผางนี่มันสวยกว้างไกลดีแท้

เอาล่ะ หัวน้ำตกอยู่แค่นี้เองใกล้เข้ามาแล้ว


ในที่สุดอย่างปลอดภัยทุกคน รวมถึงนักท่องเที่ยวอีกกลุ่ม เราก็มาถึงหัวน้ำตกวะคอโกรในเวลาไล่เลี่ยกัน เชิญฟินเชิญเสพความสวยงามของที่นี่ให้เต็มเหนี่ยว



ขวามือเห็นหมู่บ้านไกลๆ คือบ้านนุโพ ศูนย์อพยพชั่วคราวที่เรานั่งรถผ่านตอนมากุยเลอตอ และหากมองไปทางซ้ายจะเห็นอีกหมู่บ้านคือทีจอชี แถวนั้นก็มีป่ามีน้ำตกให้สำรวจเหมือนกัน คุยกับเพื่อนว่าปีหน้าจะมาลองเส้นนั้นบ้าง

หัวน้ำตกวะคอโกรที่เราอยู่ยังไม่สุดสันเขานะครับ แหงนมองไปมีทางเดินขึ้นอีกไกล ซึ่งก็คือขึ้นดอยสามหมื่นนั่นแหละ ลูกหาบบอกว่าจะขึ้นทางนี้จนไปถึงสันเขาแล้วตัดลงทางปิตุ๊โกรก็ได้ มีสายเที่ยวป่าแบบจริงจังทำมาแล้วด้วย ใครอยากลองวัดกำลังก็จัดได้ครับ ส่วนคราวนี้ผมขอแค่นี้พอแล้วกัน นึกดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องแบกเป้มาขึ้นทางชันขนาดนี้ (ฮา…)

ถึงเวลาอาหารกลางวันร่วมสาบานแบบง่ายๆ คนละจ้วงสองจ้วง เดี๋ยวก็หมดกระทะเชื่อสิ

เราอยู่บนวะคอโกรเสพวิวสวยๆ จนบ่ายสองค่อยเดินลง ลงไปถึงไหล่เขาจุดที่มีสัญญาณโทรศัพท์แรกแล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกทางเพื่อแวะชมถ้ำพระหรือถ้ำผาพระ ก่อนวนกลับไปลานกางเต็นท์ เดินเป็นสามเหลี่ยมไม่ซ้ำกับขาขึ้นมา

ชั้นหินแถวถ้ำพระสวยแปลกตามาก หลายจุดดูแล้วก็สงสัยว่าใช่ไม้กลายเป็นหินหรือเป็นแค่ชั้นหินที่คล้ายลายไม้ นี่ถ้าได้คนมีความรู้เรื่องธรณีวิทยามาเดินด้วยคงสนุกกว่านี้



ภายในถ้ำพระมีหินงอกหินย้อยสวยๆ พอประมาณ เข้าไปชมไปถ่ายรูปกันได้ครับ


ด้วยความที่เราเดินทำเวลาได้ดี ลูกหาบจึงบอกว่างั้นแวะไปดูจุดชมวิวเหนือถ้ำพระนิดหน่อยแล้วกัน พวกเราเลยได้เห็นน้ำตกวะคอโกรจากอีกมุมซึ่งอยู่ไกลกว่า



เดินกลับถึงแคมป์ประมาณห้าโมงเย็น ยังสว่างอยู่และมีเวลาพอให้อาบน้ำอาบท่า ใกล้กับแคมป์ของเรามีแอ่งน้ำใหญ่สามารถลงแช่แบบสบายมาก ถือเป็นจุดดีที่สุดของการตั้งแคมป์ตรงนี้เลยล่ะ

เสร็จสรรพค่อยมาล้อมวงทำกับข้าวเฮฮาสังสรรค์ คืนนี้อากาศกำลังดี ฟ้าร้องครืนแว่วมาไกลๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีฝนลงเม็ดมากวนใจ เป็นวันที่นอนกลางป่าสบายจริงเชียว

(3)
วันสุดท้ายของการเดินทาง หลังเก็บแคมป์กินข้าวเสร็จ เราเดินลงประมาณเก้าโมงเช้า มาทางไหนก็กลับทางเดิม ได้เห็นสักทีว่าตอนแรกที่ไต่หินปีนป่ายมาตามความมืดนั้นภาพชัดๆ เป็นอย่างไร



ขากลับใช้เวลาไม่นานก็มาโผล่ออกไร่ชาวบ้าน แต่ที่หนักคือหลังจากนี้ ทำไมหนอถึงมีความรู้สึกว่าขาเข้าเดินใกล้กว่าตั้งเยอะนะ (ฮา…)
มาถึงตรงนี้เห็นสายน้ำขาวๆ นั่นไหมครับ น้ำตกปิตุ๊โกรยังไงล่ะ

เราออกมาถึงจุดจอดรถบ้านกุยเลอตอประมาณเที่ยงกว่าๆ นั่งรถกลับไปอุ้มผางเพื่ออาบน้ำอาบท่า จากนั้นจึงเหมารถที่ติดต่อไว้กลับมาแม่สอด
ตอนแรกผมกะจะนอนแม่สอดอีกคืนเพราะไม่ได้จองรถทัวร์เข้า กทม. เอาไว้ แต่เช็คอีกรอบปรากฏว่ามีรถเสริมเลยโชคดีได้กลับรอบสองทุ่ม มาถึง บขส.แม่สอด ทันเวลาเฉียดฉิว ส่วนเพื่อนคนอื่นแยกย้ายทางใครทางมัน
โดยสรุปเส้นทางเดินป่าสายวะคอโกรถือว่าสวยและเดินสนุกครับ เทียบกับปิตุ๊โกรผมยกให้วิวดอยสามหมื่นทางฝั่งปิตุ๊โกรสวยกว่าเพราะเห็นแนวสันเขาทอดตัวลงไปยาวๆ ส่วนวะคอโกรเป็นวิวแบบหน้าผา แต่เพราะทางวะคอโกรยังไม่ค่อยมีคนเดินก็จะดิบๆ รกๆ และมีดีตรงได้เที่ยวถ้ำพระด้วย
ส่วนเรื่องความยาก ผ่านมาหลายวันจนถึงตอนนี้ยังเถียงกันไม่จบ ผมคิดว่าที่นี่ยากกว่า แต่เพื่อนสองสามคนบอกว่าปิตุ๊โกรยากกว่าเยอะเลยไม่รู้จะฟันธงยังไง ที่แน่นอนว่ายากสุดคือขึ้นปิตุ๊โกรมาลงวะคอโกร หรือจะขึ้นลงสลับกันนั่นไงล่ะ
อยากรู้ไหมครับว่าที่ว่ายากมันยากขนาดไหน ถ้าอยากรู้ก็ไปลองสิครับ เดินมันให้ครบทุกแบบแล้วตัดสินกันเอาเอง วิถีคนชอบเที่ยวป่ามันต้องอย่างนี้แหละ…
เล็กๆ น้อยๆ ถ้าอยากเที่ยววะคอโกร
- อยู่บนดอยมะม่วงสามหมื่น อ.อุุ้มผาง จ.ตาก
- ติดต่อคนนำทางและลูกหาบชาวกะเหรี่ยงที่บ้านกุยเลอตอ
- ทางไปบ้านกุยเลอตอ 70 กิโลเมตร สภาพถนนพังเป็นหลุมบ่อหลายช่วง ไม่แนะนำให้ขับรถยนต์ส่วนตัวหรือรถตู้ไปเอง แนะนำใช้บริการรถกระบะผู้ประกอบการท้องถิ่น
- ราคาคนนำทางและลูกหาบ วันละ 500-700 บาท ต่อคน ตามตกลง
- ทางขึ้นอยู่ทางเดียวกับไปน้ำตกปิตุ๊โกร มีค่าบำรุงสถานที่ 20 บาท ต่อคน
- จุดตั้งแคมป์ผูกเปลได้ กางเต็นท์ได้ ติดแหล่งน้ำ
- มีสัญญาณโทรศัพท์เฉพาะบริเวณที่สูงตามแนวสันเขา
- ต้องการรถรับ-ส่ง รถเหมา ที่จอดรถ ที่อาบน้ำ หรือที่พักก่อนขึ้นที่อุ้มผาง แนะนำดอกเสี้ยวทัวร์ โทร. 0898605070 เฟซบุ๊ก www.facebook.com/dokseawresort
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
https://www.facebook.com/alifeatraveller
