ทริปเดินทาง : 9-13 ธันวาคม 2560
“อยากไปปางอุ๋งต้องหยุดงานกี่วัน” เสียงคู่ชีวิตถามผมถึงแผนเที่ยวช่วงปลายปีเดือนธันวาคมที่ผ่านมา “จะให้ไม่ลำบากต้องสักสี่คืน” ผมว่า “โอเค ถ้าลาได้ห้าวันต้องพาไปนะ” เธอเน้นเสียงขึงขัง นั่นแหละครับ ถ้าเธออยากไปผมจะกล้าขัดได้อย่างไร (ฮา…)
ทำไมไปปางอุ๋งถึงต้องยาวนานตั้งห้าวันสี่คืน? ก็แหม ผมไม่ได้ขับรถหรือเช่ารถยนต์เฟี้ยวฟ้าวเสียเมื่อไหร่ ที่ต้องนานขนาดนั้นเพราะเราจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์คันน้อยจากเชียงใหม่ขี่ไป ทางขึ้นเขาลงเขาตั้งสองสามร้อยกิโล หากมีเวลาแป๊บเดียวคงไม่คุ้มเดินทาง แถมเส้น เชียงใหม่ – ปางอุ๋ง มีที่เที่ยวน่าสนใจเต็มไปหมด จริงๆ สี่ห้าวันเที่ยวได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
เหตุที่ต้องเช่ามอเตอร์ไซค์เนื่องจากเราเดินทางด้วยรถทัวร์จากโคราชซึ่งสุดสายมีแค่ที่เชียงใหม่ ครั้นจะต่อรถโดยสารเข้าไปเช่ามอเตอร์ไซค์ที่แม่ฮ่องสอน ขากลับยังไงก็ต้องย้อนมาเชียงใหม่อยู่ดี ดังนั้นลุยเองจากเชียงใหม่จึงสะดวกที่สุด
ทริปนี้ห้าวันสี่คืน เส้นทาง เชียงใหม่ – ปาย – ปางมะผ้า – ปางอุ๋ง ไปและกลับทางเดียวกัน (ที่แม่ฮ่องสอน ผมเคยเที่ยวปายครั้งเดียว มากกว่านั้นคือประสบการณ์ใหม่ทั้งหมด) มีอะไรให้เที่ยวบ้าง และผมเจออะไรบ้าง บิดกุญแจสตาร์ตเครื่องตามมาเลยครับ
Day 1
เส้นทางวันนี้
* ถนน ทล.107 ช่วง เชียงใหม่ – แม่แตง
* ถนน ทล.1095 ช่วง แม่แตง – ปาย
* สะพานประวัติศาสตร์
* กองแลน
* โป่งน้ำร้อนท่าปาย
* กางเต็นท์ ปายริเวอร์แคมป์
* ถนนคนเดินปาย
จุดเริ่มต้นคือสถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงใหม่ หรือที่เราเรียกว่าอาเขตนั่นไง ใช้เส้นทาง ทล.107 ออกจากตัวเมืองขึ้นทางเหนือ พอถึงแยกเลี่ยงเมืองแม่มาลัยให้เลี้ยวซ้าย ป้าย อ.ปาย 94 แม่ฮ่องสอน 203 จะปรากฎตรงหน้า นี่คือถนน ทล.1095 พาเรายิงยาวถึงอำเภอปาย
Bikky อาเขต
ร้านประจำเช่ามอเตอร์ไซค์ของผมที่อาเขต ร้านเปิดหกโมงเช้าถึงสามทุ่ม ไม่เคยมีปัญหาใดๆ แต่เกือบมีปัญหาซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องเครื่องยนต์และการบริการก็คราวนี้ เพราะเป็นวันหยุดยาวรัฐธรรมนูญ รถเลยโดนเช่าเกือบเกลี้ยงร้าน
นับว่าโชคดีที่ผมยังทันได้ ฮอนด้า เวฟ 125 คันสุดท้าย ทริปขึ้นเขาไกลๆ หลายวันแบบนี้ ใช้รถเกียร์ธรรมดาค่อนข้างอุ่นใจกว่าครับ ราคาเช่า 300 บาท ต่อวัน ไม่มีค่าค้ำประกันแค่วางบัตรประชาชน คิดแบบเวลา 24 ชั่วโมง หากเช่ายาวเจ็ดวัน จะแถมฟรีหนึ่งวันด้วยนะ
สะพานประวัติศาสตร์
ขี่รถขึ้นเขาลงเขาเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อน บ่ายสองโมงครึ่งจึงลงเขาครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงถนนวกวนให้เวียนหัวที่สุด นั่นแหละค่อยเรียกว่าถึงอำเภอปายสักที แม้จริงๆ เข้าเขตอำเภอปายตั้งแต่ผ่านห้วยน้ำดังแล้วก็ตาม
สัญลักษณ์หรือประตูสู่เมืองปายคือสะพานเหล็กสีเขียว เรียกว่าสะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย เป็นสะพานข้ามแม่น้ำปายซึ่งสร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่น แต่เดิมไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก พอซ่อมแซมหลายทีเลยมีสภาพสวยงามอย่างที่เห็น ทั้งสองฝากสะพานมีร้านค้าร้านของที่ระลึกเต็มไปหมด
กองแลน
เลยจากสะพานประวัติศาสตร์ไม่ไกลก็ถึงกองแลน ชื่อฝรั่งว่า ปาย แคนยอน ยอมรับอย่างหนึ่งคือเมื่อหลายปีก่อนตอนมากองแลนครั้งแรก ผมตื่นเต้นในความสวยแปลกของที่นี่มาก แต่กลับมาครั้งนี้ด้วยประสบการณ์เพิ่มขึ้นทำให้ดูความสวยของกองแลนลดลง ถึงอย่างนั้นก็ยังน่าเที่ยวอยู่ดี
กองแลนเป็นปรากฎการณ์เรียกว่าเสาดิน ที่นี่ต่างจากที่อื่นตรงเราเดินเที่ยวชมจากข้างบนไม่ใช่ข้างล่าง สวยสุดต้องตอนเย็นๆ พระอาทิตย์ตก แต่ผมไม่ได้อยู่รอจนถึงเวลานั้น แวะถ่ายรูปพักใหญ่ก็เดินทางต่อ
โป่งน้ำร้อนท่าปาย
ก่อนจะเข้าปายขอย้อนกลับแวะโป่งน้ำร้อนท่าปายสักหน่อยดีกว่า ทางเข้าอยู่ก่อนถึงกองแลนสามกิโลเมตร อยู่ในความดูแลของ อช.ห้วยน้ำดัง ต้องจ่ายตังค์ ผู้ใหญ่คนละ 50 บาท มอเตอร์ไซค์ 20 บาท แน่นอนว่าด้านในมีบ่อน้ำร้อนให้แช่ และขาดไม่ได้เลยกับกิจกรรมต้มไข่ ซึ่งตั้งแต่ต้มตามโป่งน้ำร้อนมายังไม่เคยทำได้อร่อยถูกใจสักที (ฮา…)
มีลานกางเต็นท์ด้วยครับ บรรยากาศสงบตามสไตล์อุทยานฯ น่าเสียดายว่าเราสองคนจะไปถนนคนเดิน ที่นี่จึงถือว่าไกลเกินไปหน่อย
ปายริเวอร์แคมป์
ปายมีจุดกางเต็นท์หลายแห่ง โป่งน้ำร้อนท่าปาย ริมแม่น้ำสะพานประวัติศาสตร์ จุดชมวิวหยุนไหล แต่เพราะเราอยากเที่ยวถนนคนเดินเลยต้องหาที่อยู่ในตัวอำเภอ คือตามรีสอร์ทที่พักต่างๆ
เราเลือก ปายริเวอร์แคมป์ แต่ถึงจะใช้ชื่อริเวอร์แคมป์และติดแม่น้ำก็ไม่ได้มีบรรยากาศริมน้ำนะ เป็นเหมือนสวนหลังบ้านกว้างๆ ค่ากางเต็นท์คนละ 100 บาท ส่วนเต็นท์ เครื่องนอน มีให้เช่าต่างหาก มีน้ำอุ่นให้อาบ มีไฟให้ชาร์ตเสียเงินนิดหน่อย โดยรวมหากไม่ใช่ช่วงเทศกาลก็ถือว่าโอเคอยู่แหละ แต่ช่วงวันหยุดแบบนี้คนชอบเงียบๆ ควรไปที่อื่นดีกว่า
ถนนคนเดินปาย
เที่ยวถนนคนเดินไม่ว่าจะที่ไหนก็เป็นเรื่องอิ่มหมีพีมันเสมอ คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าหมดเงินเท่าไหร่ รู้แค่อิ่มพุงแทบแตก
ถนนคนเดินปายมีทุกวันทั้งปี ช่วงหน้าหนาวคนไทยเยอะ แต่ลองมาหน้าฝนจะเห็นว่าปายเป็นเมืองฝรั่งแบ็คแพ็ค แทบไม่เห็นหัวนักท่องเที่ยวไทยเลยล่ะ บรรยากาศต่างกับตอนนี้เหมือนคนละโลก
Day 2
เส้นทางวันนี้
* เช้า จุดชมวิวหยุนไหล
* บ้านสันติชล
* ถนน ทล.1095 ช่วง ปาย – ปางมะผ้า
* น้ำพุร้อนไทรงาม
* จุดชมวิวดอยกิ่วลม
* ถ้ำลอด
* กางเต็นท์ บ้านจ่าโบ่
จากอำเภอปาย ไปต่อสู่อำเภอปางมะผ้า ด้วยทางหลวง ทล.1095 เส้นเดียวไม่ต้องเลี้ยวไหน แค่ระวังเลี้ยวให้ตามโค้งวกไปวนมาให้ดีแล้วกัน แวะเที่ยวสถานที่น่าสนใจและอยากไปรายทางเรื่อยๆ ก่อนเย็นย่ำจะหาที่นอนที่บ้านจ่าโบ่ หมู่บ้านชาวเขาเล็กๆ ซึ่งกำลังดังระเบิดในโลกโซเชียล
จุดชมวิวหยุนไหล
เที่ยวปายหน้าหนาวใครก็ต้องมาที่นี่แม้จะรู้ว่าความหวังในการดูทะเลหมอกไม่มีอยู่แล้ว นอกจากเมื่อคืนไม่หนาว ตอนตีห้าฝนยังตกพรำๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าเช้านี้จะเป็นเช่นไร
จุดชมวิวนี้อยู่ที่บ้านสันติชล หมู่บ้านชาวจีนยูนนาน (จีนฮ่อ) ห่างจากตัวอำเภอไม่ไกล ค่าเข้าชมคนละ 20 บาท มีร้านอาหารจีนยูนนาน บ้านพัก และลานกางเต็นท์ นำเต็นท์มาเองค่าหัวคนละ 100 บาท ข้อดีสุดๆ คือตอนเช้าเราจะได้ชมพระมาทิตย์ขึ้นโดยไม่ต้องยื้อแย่งกับคนอื่นที่จุดชมวิว
และแม้เช้านี้จะไม่มีทะเลหมอกแบบอลังการ หรือแสงเช้าจี๊ดจ๊าดมากนัก แต่ความสุขก็ใช้ได้อยู่นะ
บ้านสันติชล
พอแดดเริ่มมาเราก็ลงจากจุดชมวิวมาที่ศูนย์วัฒนธรรมจีนยูนนาน บ้านสันติชล จัดทำเป็นสถานที่เที่ยวเต็มรูปแบบโดยไม่คิดค่าเข้าชม จำลองสภาพบ้านดินยูนนานเป็นร้านขายของ มีกำแพงเมืองจีน มุมถ่ายรูปเก๋ๆ เยอะทีเดียว ใครอยากเช่าชุดชาวจีนอลังการมาใส่ถ่ายรูปด้วยก็ได้ และกิจกรรมยอดฮิตคือเล่นชิงช้ายูนนาน
น้ำพุร้อนไทรงาม
ไม่เคยรู้ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน (หรือเคยได้ยินแต่จำไม่ได้นะ) แต่ตอนเดินถนนคนเดินเมื่อวานมีคนแนะนำให้ลองมา ทางเข้าอยู่บนถนน ทล.1095 ช่วงออกจากปายไปปางมะผ้าไม่ไกลนัก
มาถึงแล้วค่อยรู้ว่าที่นี่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปาย เป็นบ่อน้ำผุดขนาดกลาง ใสแจ๋วน่าแหวกว่าย แต่วันที่เราไปคือ 10 ธันวาคม ความสวยงามเลยแปรเปลี่ยนเป็นความคึกคักแทน
สิ่งเดียวที่รู้สึกไม่พอใจคือเพราะเป็นเขตรักษาพันธุ์ฯ เราจึงต้องเสียค่าเข้าที่ด่านตรวจฯ คนละ 20 บาท มอเตอร์ไซค์ 20 บาท แต่พอถึงลานจอดรถแล้วเดินเข้าไปบ่อน้ำผุดกลับมีการเก็บค่าเข้าเพิ่มอีกคนละ 20 บาท จากทางเทศบาลฯ ถ้าไม่จ่ายอยู่ได้แค่ลานจอดรถ ซึ่งการเสียค่าเข้าซ้ำสองไม่ได้มีการแจ้งข้อมูลที่ด่านตรวจฯ แม้แต่น้อย
ขอตำหนิอย่างแรงครับ ไม่ได้เสียดายเงิน เสียดายความรู้สึกมากกว่า
อีกอย่างคือน้ำที่นี่ไม่ร้อนนะ แทบไม่อุ่นด้วยซ้ำแค่ไม่เย็น ควรใช้คำว่าบ่อน้ำผุด หรือบ่อน้ำพุ มากกว่าน้ำพุร้อน จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิด
จุดชมวิวดอยกิ่วลม
จุดพักรถริมทางบนเส้นทาง ปาย-ปางมะผ้า เชื่อเถอะหลังผ่านโค้งขึ้นเขามาถึงตรงนี้ใครก็ต้องอยากพักสักครู่ มีร้านขายของกินของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ เรื่องวิวไม่ได้สวยงามมากนัก แต่หากใครโชคดีผ่านมาเช้าๆ วันที่มีทะเลหมอกก็คงจะเห็นเป็นอีกเรื่อง
ถ้ำลอด
พ้นจากดอยกิ่วลมมาราว 18 กิโลเมตร ก็เจอปากทางมุ่งสู่ถ้ำลอด ที่เที่ยวชื่อดังของปางมะผ้า เลี้ยวเข้าไปอีก 8 กิโลเมตร จะพบลานจอดรถศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าถ้ำน้ำลอด
ในถ้ำลอดหรือถ้ำน้ำลอด แบ่งย่อยๆ ออกเป็นสามถ้ำคือ ถ้ำเสาหิน ถ้ำตุ๊กตา ถ้ำผีแมน (ผีแมนคือโลงซึ่งสร้างขึ้นจากต้นไม้ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่พบมากในพื้นที่ปางมะผ้า) ไม่มีค่าเข้า แต่มีค่าไกด์นำเที่ยว และไม่อนุญาตให้เที่ยวเองโดยไม่มีไกด์ การนำเที่ยวสองถ้ำแรกราคา 200 บาท และนำเที่ยวทั้งสามถ้ำราคา 450 บาท
แนะนำให้เที่ยวทั้งหมดครับ เพราะไฮไลท์คือถ้ำที่สามซึ่งเราต้องนั่งแพไม้ไผ่ล่องไปตามธารน้ำภายในถ้ำ ความสวยและยิ่งใหญ่คงยากจะบรรยาย บอกได้แค่ว่าเป็นหนึ่งในถ้ำที่ใหญ่และสวยที่สุดของบ้านเรา เงินที่จ่ายไปไม่นึกเสียดายแม้แต่สตางค์เดียว
นอกจากนี้ที่ปางมะผ้ายังมีโถงถ้ำสวยงามอีกหลายแห่ง ทั้งแบบเที่ยวง่ายและเที่ยวยาก สักครั้งคงต้องจัดมาเที่ยวเต็มๆ เฉพาะลุยถ้ำที่ปางมะผ้าให้หนำใจเลยล่ะ
กางเต็นท์ บ้านจ่าโบ่ (ลานกางเต็นท์จ่าทอ)
ห้าโมงเย็น ขับรถผ่านโค้งแล้วโค้งเล่าจากถ้ำลอดมาถึงบ้านจ่าโบ่ ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาราคาหลักสิบวิวหลักล้านเลื่องชื่ออยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ทว่าจอดรถแล้วเดินเข้าไปก็เจอเขากำลังเก็บร้าน “ปิดแล้วค่ะ” เอ่อ… ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะเราไม่ได้มากินก๋วยเตี๋ยว เรามาหาที่นอนต่างหาก และก่อนอื่นที่จะทำอะไรทุกอย่าง ขอแช้ะรูปก่อนเถอะ วิวที่นี่สวยเหลือเกิน
บ้านจ่าโบ่เป็นชุมชนชาวมูเซอ (ล่าหู่) เผ่ามูเซอดำ ในหมู่บ้านมีที่พักโฮมสเตย์แท้ๆ อยู่กินกับชาวบ้าน แต่เราอยากกางเต็นท์มากกว่า ซึ่งมีอยู่หนึ่งแห่งคือลานกางเต็นท์จ่าทอ ตรงข้ามร้านก๋วยเตี๋ยว อยู่บนไหล่เขาวิวสวยมาก เอาเต็นท์มาเองคิดค่าพื้นที่คนละ 100 บาท และมีบ้านพักเล็กๆ ด้วยครับ ใช้ห้องน้ำรวมเหมือนกัน ดีกว่าก็ตรงมีไฟฟ้าใช้
สำหรับข้าวเย็น นอกจากร้านก๋วยเตี๋ยวในหมู่บ้านไม่มีร้านอาหารเป็นที่ทางนะครับ ใครพักโฮมสเตย์ก็กินกับชาวบ้านอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้พักก็ต้องสั่งที่ลานกางเต็นท์จ่าทอ มีแค่ข้าวไข่เจียวประทังชีวิต ซึ่งพอมากินที่นี่ มันคือข้าวไข่เจียวอร่อยที่สุดในโลก
ว่าแต่จ่าโบ่เป็นใครมาจากไหน และคงไม่แปลกใจใช่ไหมหากผมจะบอกว่าจ่าโบ่ไม่ใช่ตำรวจไม่ใช่ทหาร ไม่ได้ติดยศอะไรทั้งนั้น และจ่าทอก็ไม่ใช่เช่นกัน
จ่าเป็นคำเรียกผู้ชายของชาวมูเซอดำ จ่าโบ่คือผู้นำที่ก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้ ปัจจุบันแกเสียชีวิตแล้ว ส่วนจ่าทอคือเจนเนอเรชั่นที่สาม เป็นหลานจ่าโบ่ เป็นลูกของจ่าไคแซ อายุกลางยี่สิบ หน้าตาหล่อเหลา ซิกแพ็คแน่นๆ ดีกรีปริญญา แต่ต้องแสดงความเสียใจกับสาวๆ ทั้งหลายด้วย เพราะจ่าทอมีเจ้าของหัวใจเรียบร้อยแล้วเป็นสาวสวยยิ้มหวานชาวสกลนคร (เฮ้ย รีวิวละเอียดไปแล้ว ฮา…)
ค่ำคืนที่ลานกางเต็นท์จ่าทอบรรยากาศดีแม้คืนนี้จะคึกคักไปสักหน่อยก็เถอะ อากาศหนาวขึ้นเล็กน้อย ฟ้าเปิด และดวงดาวที่บ้านจ่าโบ่ก็สวยมากด้วย
Day 3
เส้นทางวันนี้
* เช้า ผาจ่าโบ่
* บ้านจ่าโบ่
* ถนน ทล.1095 ช่วง ปางมะผ้า – แม่ฮ่องสอน
* จุดชมวิวบ้านลุกข้าวหลาม
* ถ้ำปลา
* ถนน มส. 4001 หมอกจำแป่ – นาป่าแปก
* น้ำตกผาเสื่อ
* กางเต็นท์ปางอุ๋ง หน่วยพิทักษ์ฯ อช.ถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ
ตั้งต้นวันนี้ที่บ้านจ่าโบ่ ปางมะผ้า ใช้ถนน ทล.1095 ต่อเข้าสู่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน แต่ไม่ถึงตัวเมืองหรอกจะพบทางแยกไปปางอุ๋ง เส้นทางขึ้นเขาและลาดชันหลายช่วงแต่ก็ไม่มีอะไรยากเกินสำหรับมอเตอร์ไซค์ สุดปลายทางที่ปางอุ๋ง เล่นเอาเหนื่อยใช่ย่อย
ผาจ่าโบ่
หกโมงเช้าเวลานัดหมาย ตื่นมาพร้อมกับหมอกขาวโพลนพร้อมความหวังเห็นทะเลหมอกลอยละล่องไปด้วย แต่จ่าทอยิ้มแล้วบอกว่า “เดี๋ยวผมพาขึ้นไปข้างบน น่าจะอยู่เหนือหมอก”
ความจริงจุดชมทะเลหมอกขึ้นชื่อของบ้านจ่าโบ่มีชื่อว่าภูผาหมอก ซึ่งหากมีทะเลหมอกเราจะได้ชมอย่างใกล้ชิดสุดๆ หมอกแทบอยู่ใต้เท้าเชียวล่ะ แต่เพราะสภาพอากาศวันนี้จ่าทอเลยพาไปจุดสูงสุดของบ้านจ่าโบ่ อยู่เหนือขึ้นไปจากลานกางเต็นท์ และเรียกง่ายๆ ว่า “ผาจ่าโบ่”
ใช้เวลาเดินไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราก็มาอยู่บนยอดเขาหินปูน ที่อยากจะร้องกรี๊ดคือจ่าทอคาดการณ์ถูกเผง บนผาจ่าโบ่เราอยู่สูงกว่าหมอก ขณะที่ภูผาหมอกข้างล่างสภาพอากาศเปิดๆ ปิดๆ ตามกระแสลม
แม้จะไม่ใช่วันที่หมอกนุ่มนิ่มเหมือนขนมถ้วยฟู แต่มันกลับมีเสน่ห์มาก ภาพทะเลหมอกที่เห็นตรงหน้าเปลี่ยนไปแทบทุกสองสามนาที และเหมือนยิ่งเวลาผ่านไปหมอกก็ยิ่งเยอะขึ้นด้วย เป็นหนึ่งในเช้าที่วิเศษสุดๆ
การขึ้นชมทั้งผาจ่าโบ่และภูผาหมอกมีค่าใช้จ่ายคนละ 100 บาท ให้กับไกด์นำทาง เป็นการช่วยให้ชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยวในหมู่บ้านของเขาครับ อย่าถามเลยว่าเดินเองโดยไม่มีไกด์ได้ไหม
บ้านจ่าโบ่
ผมถ่ายภาพสุดท้ายที่ผาจ่าโบ่ตอนแปดโมง ลงมาข้างล่างเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวคนเยอะเชียว แต่ยังพอหาที่นั่งได้อยู่ ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำใส ต้มยำ ราคาบ้านๆ 35-40 บาท กาแฟสดก็ไม่แพง ไม่แปลกใจว่าทั้งราคากันเองและวิวดีแบบนี้ถึงดังเหลือเกิน ส่วนรสชาติถือว่าโอเคครับ ไม่เลิศสุดๆ แต่ไม่แย่อะไร
เราเดินเล่นในหมู่บ้านอีกพักใหญ่จนกระทั่งหมอกสลายไปหมด มีร้านกาแฟวิวดีเพิ่งเปิดใหม่อีกร้านชื่อ เด็กดอย คอฟฟี่ เลยไปอีกหน่อยมีปั๊มน้ำมันหลอด ช่วงนักท่องเที่ยวกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้วหายแว้บไปหมด ที่นี่กลายเป็นหมู่บ้านในหุบเขาที่สุดแสนเงียบสงบทันที
จุดชมวิวบ้านลุกข้าวหลาม
เราเก็บเต็นท์ออกจากบ้านจ่าโบ่เป็นหลังสุดท้ายตอนใกล้สิบเอ็ดโมง ใช้ถนน ทล.1095 ต่อไปทางอำเภอเมือง เกือบชั่วโมงจึงถึงจุดชมวิวบ้านลุกข้าวหลาม เป็นจุดพักรถอีกแห่งบนถนนสายคดเคี้ยว มีของกินของที่ระลึกเรียงรายเป็นสิบร้าน เนื่องจากมาตอนกลางวันเลยเห็นแค่วิวภูเขาธรรมดา ส่วนถ้าเป็นเช้าวันมีทะเลหมอกน่าจะอลังการเชียวล่ะ
ถ้ำปลา
จากจุดชมวิวบ้านลุกข้าวหลามผ่านทางเคี้ยวคดอีกประมาณ 30 กิโลเมตร ก็อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ เป็นการรวมสองวนอุทยานตามชื่อคือถ้ำปลา และน้ำตกผาเสื่อ ขยายเป็นอุทยานแห่งชาติ
ถ้าเที่ยวถ้ำลอดมาแล้วก็อย่าคิดว่าถ้ำปลาเป็นแบบนั้นล่ะ ถ้ำปลาเป็นแค่ธารน้ำลอดออกมาจากช่องเขาหินปูน ไม่มีถ้ำหินงอกหินย้อยอะไรให้เที่ยวชมหรอก แต่จุดเด่นคือปลาพลวงตัวโตๆ เยอะมาก เราไปให้อาหารพวกมันได้ (สงสัยว่าที่อื่นอย่างน้ำตกพลิ้วตอนนี้เข้มงวดเรื่องให้อาหารปลา แต่ทำไมที่นี่ยังให้กันอยู่นะ อาจเป็นเพราะถ้าไม่กิจกรรมให้อาหารปลาที่นี่ ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำเลยล่ะมั้ง)
รอบพื้นที่ของอุทยานฯ กว้างขวางร่มรื่น ตรงลานจอดรถมีร้านอาหาร ด้านในมีร้านกาแฟ มีลานกางเต็นท์ด้วย ค่าเข้าผู้ใหญ่ 20 บาท ยานพาหนะไม่เสียเพราะจอดด้านนอก
น้ำตกผาเสื่อ
จากถ้ำปลาไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรจะพบทางแยกบอกไป น้ำตกผาเสื่อ ปางอุ๋ง บ้านรักไทย เลี้ยวเข้าไปได้เลย เส้นทางนี้จะพาเราไปตามทางหลวงชนบท มส. 4001 ระหว่างทางผ่านน้ำตกผาเสื่อ เป็นน้ำตกขนาดกลางชั้นเดียวอยู่ริมถนน อุทยานฯ ทำที่ทางไว้ดีและไม่เสียค่าเข้าชมใดๆ
กางเต็นท์ปางอุ๋ง หน่วยพิทักษ์ฯ อช.ถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ
การเดินทางช่วงสุดท้ายของวัน จากน้ำตกผาเสื้อ สู่ปางอุ๋ง (โครงการพระราชดำริปางตอง 2) ที่บ้านรวมไทย ระยะทางอีก 30 กิโลเมตร เป็นทางขึ้นเขาลงเขาเกือบทั้งหมด เล่นเอาอ่วมใช้ได้
ที่พักที่ปางอุ๋งมีเยอะเชียว พักตามเกสต์เฮ้าส์ที่บ้านรวมไทย หรือบ้านพักของโครงการพระราชดำริก็ได้ แต่เราเลือกกางเต็นท์ในหน่วยพิทักษ์ อช.ถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ ที่ 5 (ปางตอง) จุดไฮไลท์ของปางอุ๋ง ผมจ่ายค่าเข้าอุทยานฯ มาแล้วที่ถ้ำปลาเลยไม่ต้องเสียที่นี่อีก ส่วนค่ากางเต็นท์ตามมาตรฐานคนละ 30 บาท อุปกรณ์ทุกอย่างมีให้เช่า
ในที่สุดก็ได้มาเสียทีนะปางอุ๋ง มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เรื่องสวยคุ้มค่าความเมื่อยหรือไม่ไม่สำคัญเลย ส่วนเรื่องอาหารการกินในหมู่บ้านมีหลายร้านให้เลือกตามสะดวก
ค่ำคืนที่ปางอุ๋ง เพราะแสงสว่างเยอะพอสมควรตอนแรกๆ เลยอาจไม่ค่อยเห็นดาวเท่าไหร่ แต่พอสายตาปรับแสงได้แล้วก็ถือว่าพราวฟ้าอยู่เหมือนกันล่ะ
Day 4
เส้นทางวันนี้
* เช้า ปางอุ๋ง
* บ้านรักไทย
* ถนน มส. 4001 นาป่าแปก – หมอกจำแป่
* ถนน ทล. 1095 ช่วง แม่ฮ่องสอน – ปาย – ห้วยน้ำดัง
* กางเต็นท์ อช.ห้วยน้ำดัง
เริ่มต้นขากลับ จากปางอุ๋งแวะไปบ้านรักไทยสักหน่อย โดยมีปลายทางของวันนี้อยู่ที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ย้อนเส้นทางเดิมทั้งหมด
ปางอุ๋ง
ไอหมอกลอยเหนือไอน้ำ มาปางอุ๋งใครก็อยากได้ภาพแบบนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีได้เห็น เอาน่า… มาบางๆ ก็ยังดี บรรยากาศยามเช้าแม้ไม่มีหมอกสักเท่าไหร่ยังถือว่าสดชื่นน่าหลงใหลอยู่แหละน่า ที่สำคัญคือแค่คนข้างกายของผมยิ้มกว้างที่ได้มาสมใจเธอ นั่นก็คือที่สุดแล้ว
บ้านรักไทย
ว่ากันว่ามาปางอุ๋งแล้วต้องแวะบ้านรักไทยด้วย แล้วบ้านรักไทยมันอยู่ไหนกัน? ถามจากเจ้าหน้าที่ได้ความว่าให้กลับไปถึงสามแยกที่บ้านนาป่าแปก เลี้ยวไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางเดิมกับขาเข้ามาจะตรงไปบ้านรักไทย ถนนดำ (ลาดยาง) ตลอดสาย เพราะฉะนั้นเก็บเต็นท์เสร็จตอนสักเก้าโมงแล้วก็ไปกันโลด
แว่บแรกที่เห็นบ้านรักไทยแล้วเราตกหลุมรักทันที เงาสะท้อนอ่างเก็บน้ำสวยสมคำร่ำลือ ขนาดช่วงสายไม่มีหมอกนะนี่ และเสน่ห์ของการเป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนนานก็มีอยู่เต็มเปี่ยม
เราเดินเล่น ชิมชา เที่ยวไร่ชา และกินขาหมูหมั่นโถวจนอิ่มแปล้ เห็นลานกางเต็นท์สองสามแห่งแถวนี้ด้วย แอบคิดไม่ได้ว่าถ้าเมื่อคืนมานอนที่นี่ล่ะ…
กางเต็นท์ อช.ห้วยน้ำดัง
147 กิโลเมตร คือระยะทางจากบ้านรักไทยกลับมาตามเส้นทางเดิมจนถึงห้วยน้ำดัง อุทยานแห่งชาติที่อยู่ตรงจุดแบ่ง เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน และอย่างที่รู้กันว่าไม่ใช่ทางธรรมดาแต่เป็นข้ามเขาไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก โค้งรออยู่อีกเป็นพันโค้ง กูเกิ้ลคำนวณเวลาสำหรับรถยนต์คือสามชั่วโมงครึ่ง แล้วสภาพ ฮอนด้า เวฟ อย่างเราล่ะ
ออกจากบ้านรักไทย 11.40 น. (ผ่านพระตำหนักปางตอง อยากเข้าไปใจจะขาดแต่เวลาไม่อำนวยแล้ว) บิดยาวๆ พักแค่สองรอบ มีความรู้สึกว่าเส้นทางช่างแสนไกลเหมือนไม่มีทางไปถึง ขนาดว่าจากด่านตรวจ อช.ห้วยน้ำดัง เข้าไปจุดชมวิวและกางเต็นท์ข้างในอีกแค่ 6 กิโลเมตร ยังไกลไกล๊ไกลทำไมไม่ถึงสักที (วะ)
โน่นแน่ะ 16.10 น. จึงถึงที่หมาย เมื่อยจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ที่ทำให้ยิ้มออกคือท้องฟ้าปลอดโปร่งสุดๆ มองเห็นดอยหลวงเชียงดาวที่อยู่ใกล้ๆ ชัดแจ๋ว และอากาศเย็นลงมาก นางพญาเสือโคร่งเริ่มบานสองสามต้น สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่าทะเลหมอกสวยมาสองวันแล้ว พรุ่งนี้ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด
ค่าเข้าที่นี่ 50 บาท มอเตอร์ไซค์ 20 บาท ค่ากางเต็นท์อีกคนละ 30 บาท อุปกรณ์ให้เช่ามีทุกอย่าง ช่วงฤดูท่องเที่ยวมีร้านอาหารหลายร้านอยู่ข้างบน พร้อมทุกอย่างว่างั้นเถอะ
เราสองคนเลือกกางฝั่งพระอาทิตย์ตก ฟ้าสีสันจัดจ้านให้ชื่นใจ ตกกลางคืนก็ฟ้าเปิดดวงดาวพราวระยับ เป็นสัญญาณอันดีสำหรับพรุ่งนี้เช้า
Day 5
เส้นทางวันนี้
* เช้า อช.ห้วยน้ำดัง
* ถนน ทล. 1095 ช่วง ห้วยน้ำดัง – แม่แตง
* ถนน ทล. 107 ช่วง แม่แตง – เชียงใหม่
จากห้วยน้ำดังกลับสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ไม่ม่ีอะไรยากเย็น เคยวิ่งเส้นไหนก็ย้อนเส้นนั้นนั่นแหละ อะไรที่ยังเหลือคั่งค้างต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของคราวหน้ามาใหม่แล้วล่ะ
อช.ห้วยน้ำดัง
รอบที่สามแล้วสำหรับที่นี่ และในที่สุดเราก็ได้เจอกัน “ทะเลหมอกห้วยน้ำดัง” คงไม่มีอะไรให้บรรยายมาก นอกจากถ่ายทอดผ่านรูปภาพว่าธรรมชาติสวยงามขนาดไหน และดูเหมือนมีแค่เราสองคนที่บ้าถ่ายรูปตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนถึงแปดโมงครึ่งก็ยังอยู่ที่จุดชมวิว หลังจากนั้นยังกลับมาลั่นชัตเตอร์สนุกสนานต่อที่ลานกางเต็นท์จนเก้าโมงกว่าๆ หมอกถึงเริ่มฟุ้งหายไปทีละน้อย
จบทริป
ออกจากห้วยน้ำดังตอนสิบโมงเศษๆ ยิงยาวทีเดียวด้วยเส้นเดิมกลับตัวเมืองเชียงใหม่ ขึ้นรถทัวร์รอบบ่ายสองโมง การคืนรถสบายๆ ไม่มีปัญหา ใช้เวลาแป๊บเดียวเท่านั้น
รวมระยะทริปนี้ราว 600 กิโลเมตร ไป-กลับ น่าจะสักสี่พันโค้งเห็นจะได้ แม้ไม่ใช่การขี่มอเตอร์ไซค์เช่ามาราธอนที่สุดเท่าที่ผมเคยทำ (เดือน พ.ย. ไปเชียงใหม่สิบวัน เส้น แม่แตง-เชียวดาว-ไชยปราการ-ฝาง รีวิว >>> https://wp.me/p7ca93-1Wz) แต่ก็เรียกว่าเหนื่อยที่สุด
นั่นแหละครับทริป ปาย – จ่าโบ่ – ปางอุ๋ง – ห้วยน้ำดัง ห้าวันสี่คืนของเราสอง เป็นเส้นทางที่สวยสนุกมาก และถึงแม้ไม่ใช่ทุกที่ที่ผมตั้งใจจะหาโอกาสกลับไปเยือนอีกครั้งในวันข้างหน้า แต่ก็มีหลายที่ที่ผมตกหลุมรักและบอกตัวเองว่าสักวันหนึ่งเราสองคนจะต้องกลับไป รวมถึงอีกมากมายหลายแห่งที่เราไม่มีเวลามากพอแวะเที่ยวในครั้งนี้
หนึ่งทริปในความทรงจำ ขนาดนี้ถ้าไม่จำก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะ ว่าไหมครับ
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller