ภูเข้ : 2,000 เมตร กับหลักเขตหนึ่งอัน

ทริปเดินทาง : 28-30 กรกฎาคม 2560

“ไปภูเข้ไหมพี่” น้องคนหนึ่งเอ่ยชวนทางแชท “วันไหนล่ะ” ผมพิมพ์ตอบ ด้วยความเป็นคนใจง่าย ใครชวนเที่ยวมักปฏิเสธไม่เป็น เหมือนอย่างเช่นทริปพิชิตภูเข้ ขุนเขาเขตแดนไทย-ลาว เจ้าของความสูง 2,079 เมตร สูงที่สุดของจังหวัดน่าน ทำให้ผมเก็บกระเป๋าทั้งที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในหัวสักนิด


(1)

จุดรวมพลของพวกเรา 19 ชีวิต อยู่ที่ตลาดอำเภอปัว ซึ่งการเดินทางมาปัวไม่ยากเพราะมีรถทัวร์มาถึงที่ หรือจะต่อรถจากตัวเมืองน่าน ก็มีทั้งรถโดยสาร สองแถว รถตู้ เมื่อถึงตลาดแล้วก็จับจ่ายซื้อของกินกันทั้งข้าวเช้า กลางวัน รวมทั้งของสดเข้าไปทำกินในป่า

นี่คือโฉมหน้ารถที่เราจะใช้เดินทางเข้าไปพิชิตภูเข้ เป็นสองแถวเหมาสองคัน ต้องเหมาเท่านั้นครับ เพราะจุดหมายของเราไกลเกินกว่ารถโดยสารเข้าถึง

เนื่องจากเป็นวันหยุดยาว และสมาชิกเดินทางด้วยรถคนละเที่ยวเลยต้องรอคนครบนิดหน่อย จนสิบโมงถึงพร้อมหน้าพร้อมตา ก็วิ่งเส้น น่าน อช.ดอยภูคา บ่อเกลือ ถนนเส้นนี้เขียวสวยใช้ได้เลย

พอถึงแยกบ่อเกลือ ก็จะต่อไปสู่ตำบลบ่อเกลือเหนือ ถนนหลายช่วงเป็นทางลูกรังกำลังสร้าง ฝุ่นตลบอบอวล ที่สร้างถนนขนาดใหญ่เพราะเป็นเส้นทางสัญจรเชื่อม AEC ไทย-ลาว นั่นไง

นั่งรถยาวๆ จนถึงจุดสกัด ตชด.บ้านนาปง จากนั้นก็เลี้ยวเข้ามาทางบ้านสะไล ตำบลบ่อเกลือเหนือ ซึ่งที่บ้านสะไล ยังแบ่งย่อยเป็นสะไลน้อย สะไลหลวง ห้วยลึก โดยจุดเริ่มเดินอยู่ที่บ้านห้วยลึก ห่างจากตรงนี้สักสองกิโลเมตร แต่รถสองแถวผ่านไม่ได้แล้ว เข้าได้เฉพาะโฟร์วีล

ความจริงตรงนี้เป็นจุดนัดพบของเรากับลูกหาบ แต่ด้วยการสื่อสารคลาดเคลื่อน ลูกหาบของเราจึงติดไปกับอีกกรุ๊ปก่อนหน้า แถมหัวหน้าลูกหาบที่เหลือรอเราอยู่ก็เอ่อ … เมาปลิ้นตั้งแต่กลางวันแสกๆ ซะงั้น

กว่าจะคุยและเคลียร์กันรู้เรื่อง กว่าจะหารถได้ก็กินเวลาเนิ่นนาน เบ็ดเสร็จเสียเวลาฟรีๆ เกือบสองชั่วโมง ทำให้กว่าจะถึงจุดเริ่มต้นที่บ้านห้วยลึก มองนาฬิกาก็บ่ายสองโมงครึ่งเข้าไปแล้ว

เอาเถอะ ลุยกันดีกว่า ช่วงแรกเป็นการเดินผ่านพื้นที่เกษตรล้วนๆ หน้าฝนเริ่มเขียวด้วยนาข้าว แต่ยังมีข้าวโพดกับพืชอื่นผสมอยู่บ้าง ส่วนทางเดินเป็นดินกับหินลอย ใส่สตั๊ดดอยย่ำแต่ละทีบอกเลยว่าเจ็บ

เรื่องน่าหงุดหงิดต่อมาเกิดขึ้นหลังเดินมาสักครึ่งกิโลเมตร หัวหน้าลูกหาบของเราที่เมาอยู่เดินไม่ไหวซะงั้น ทิ้งของไว้กลางทาง ทำให้เราและลูกหาบที่เหลือต้องมาแบ่งของให้หนักขึ้นอีกคนละสองสามกิโล

เดินมาเรื่อยๆ เครื่องไม่ฟิตแรงไม่ค่อยมี เพราะผ่านการเดินทางอ่อนระโหยมายาวนาน ยังดีที่วิวสวยๆ พอช่วยให้ชื่นใจ ทิวทัศน์แบบนี้บางคนบอกว่าเขียวดี บางคนก็บอกว่านี่แหละป่าน่านหัวโล้น อยู่ที่เรามองจากมุมไหนล่ะนะ

จากเขาลูกแรก ผ่านพื้นที่เกษตร เข้าชายป่า ข้ามลำน้ำ ทะลุโผล่เขาอีกลูกซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรอีกเช่นกัน สรุปคือกว่าครึ่งทางเราต้องเดินในสภาพแบบนี้สลับกันไปเรื่อยๆ ครับ

กระทั่งห้าโมงครึ่งเมื่อมาถึงธารน้ำตกตรงนี้ จึงถือว่าเข้าเขตป่าจริงๆ ไม่มีพื้นที่เกษตรอีกแล้ว สตั๊ดดอยที่เคยทำให้เจ็บเท้ากลับมามีประโยชน์ ซึ่งเวลาที่เร่งเข้ามาทำให้เราต้องพยายามก้าวท้าวเร็วขึ้น อีกไม่นานฟ้าจะมืด

ข้ามธารน้ำมาได้ก็ถึงจุดโหดสุดๆ คือป่ากล้วย ไม่ใช่โหดเฉพาะทางชันขึ้นเขาซึ่งเป็นดินเละเทะเท่านั้น แต่ยังเป็นดงทากตัวเป้ง แม้จะเหนื่อยจะหอบอยากจะพักก็หยุดเท้าไม่ได้ พ้นขึ้นมาได้แต่ละคนลมแทบจับ ผมเองจ้ำอย่างเดียวไม่มีจังหวะให้หยุดถ่ายรูปเลยล่ะ (ฮา…)

บนนี้เรียกกันว่าปางวัว ดูจากสภาพแล้วเหมาะกับการตั้งแคมป์มาก มีร่องรอยกองไฟเก่าอยู่ด้วย ผมนั่งพักและรอเพื่อนสักครู่จนพระอาทิตย์ใกล้ลับฟ้าก็ออกลุยต่อ

เมื่อความมืดมาเยือนก็เปิดไฟฉายเดินต่อ แต่ปัญหาคือลูกหาบสองคนนำหน้าไปไกล และพวกเราก็เริ่มทิ้งระยะกันเป็นกลุ่ม จึงได้แต่คลำส่องไฟเดินตามร่องทาง จนมาถึงจุดหนึ่งที่ผมตัดสินใจหยุดรอกลุ่มรั้งท้ายอีกหลายคน เพราะกลัวว่าไม่ใครก็ใครอาจจะหลงป่ากัน

ระหว่างรอเพื่อน แสงไฟฉายแว้บๆ ไล่หลังมา ปรากฏว่าเป็นหัวหน้าลูกหาบคนที่เมานั่นแหละ คงสร่างเมาแล้วเดินตามมา พี่แกโวยวายต่อว่าลูกน้องตัวเอง (ที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้) ว่าทำไมพาเดินไปตั้งแคมป์กันข้างบน ไม่พักที่ปางวัว พวกผมได้แต่มองหน้ากันเหรอหรา

นั่นแหละครับการสื่อสารผิดพลาดทำให้กว่าจะจุดพักแรมซึ่งอยู่ด้านบนก็ปาเข้าไปสองทุ่มครึ่ง มองสภาพไม่ออกว่ารอบด้านเป็นอย่างไร เรารีบลงมือช่วยกันจัดการพื้นที่และทำอาหารทันที


(2)

จนตื่นเช้าสักเจ็ดโมงถึงได้เห็นว่าเรามาอยู่กันกลางป่าจริงๆ รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ สภาพป่าเขียวสวย

วันนี้เราจะขึ้นยอดภูเข้ เส้นทางบอกเลยว่าโหด เมื่อวานเป็นแค่ออร์เดิร์ฟเท่านั้น เดินผ่านแคมป์ของอีกกรุ๊ปซึ่งแย่งลูกหาบของเราไปก่อน (ฮา…) พวกเขาตื่นเช้าขึ้นไปข้างบนหมดแล้วล่ะ

ทางถือว่าอยู่ในระดับที่ชัน แถมเละและลื่นประหนึ่งเดินบนสไลเดอร์ โชคดีที่ไม่มีฝนตกมาทำให้ลำบากกว่าที่เป็นอยู่ บอกเลยว่าที่ผมไม่ค่อยได้ถ่ายภาพเพราะแค่เอาตัวเองให้รอดยังยาก

หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านมา เราก็มาถึงตรงนี้ ได้เห็นแนวทิวเขาเขียวๆ สักที ป่าที่เห็นนี่คือลาวนะครับ

ผมมาถึงพร้อมกับเพื่อนตัวน้อย ลวดลายสีเขียวที่เห็นบนลำตัวน่าจะสื่อได้ว่าปกติพวกมันซ่อนตัวอยู่ตามใบไม้สดมากกว่าหลบอยู่ใต้พื้นดิน ผอมๆ แบบนี้ก็โล่งใจว่ายังตกเป็นเหยื่อมันสินะ

จากจุดชมวิวต้องเดินต่ออีกเฮือกเพื่อเป็นผู้พิชิตยอดภูเข้ 2,079 เมตร แนวสันเขาแบ่งเขตแดนไทย-ลาว ซึ่งสิ่งที่รอเราอยู่บนยอดสูงสุดก็คือสิ่งนี้… หลักเขตหนึ่งอัน หมายเลข 3-37 ฝั่งหนึ่งบอกประเทศไทย อีกฝั่งบอกประเทศลาว

วิวไม่เห็น ทิวทัศน์ไม่ต้องมี (เมื่อก่อนคงเห็น แต่ตอนนี้ต้นไม้ขึ้นสูงบังวิวหมดแล้ว) นึกขำตัวเองเหมือนกันว่าดั้นด้นขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปกับหลักเขตนี้น่ะเหรอ กลายเป็นเรื่องชวนให้ขบขันกันไป

แวะกินข้าวที่หลักเขต พอสักเที่ยงค่อยเดินลง ระหว่างทางผ่านจุดชมวิว หมอกขาวกำลังปกคลุมพอดี ถ่ายภาพแห่งความชื่นใจเก็บไว้สักหน่อย


(3)

ลงจากยอดภูเข้กลับถึงแคมป์ เราช่วยกันเก็บข้าวของ และตกลงใจว่าวันนี้จะเปลี่ยนไปนอนกันแถวน้ำตกด้านล่างซึ่งเคยผ่านมา ราวสี่โมงก็ถึงที่หมายแบบรองเท้าเละเทะ ต่างคนต่างหาที่ทางกางเต็นท์และผูกเปล

หลังจากนั้นได้เวลาสนุกกับการอาบน้ำเล่นน้ำ เล่นกันชื่นใจสักพักใหญ่ก็เริ่มมีฝนโปรยปราย ผ่านไปเดี๋ยวเดียวน้ำที่ใสปิ๊งก็เริ่มขุ่นขึ้นนิดหน่อย เรารู้ตัวว่าควรทำอะไร ขึ้นจากน้ำไปอยู่ที่แคมป์ปลอดภัยกว่า

พอฝนเริ่มซาลง น้ำในธารก็เริ่มเบาลงและกลับมาใสอีกครั้ง พวกเรารวมพลทำกับข้าวกับปลา หลังจากกินข้าว เปิดวงสนทนากันเล็กๆ พอได้เวลาอันสมควรก็แยกย้ายกันเข้านอน ฟังเสียงน้ำตกขับกล่อมให้หลับสบายๆ

และวันสุดท้ายขากลับ ระยะทางเหลืออีกไม่มาก แต่เราต้องเร่งทำเวลาเพราะรู้แล้วว่าการเดินทางจากบ้านสะไล กว่าจะไปถึง บขส. ปัว กินเวลามากขนาดไหน ซึ่งดูเหมือนเรามีตัวช่วยคือทากน้อยคอยดูเลือดนี่เอง

หลังพ้นเขตแนวป่าออกมาสู่พื้นที่เกษตร ความชื้นที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้พวกมันมาต้อนรับเราแบบชูคอกันสลอน มองลงพื้นแว่บเดียวเห็นเป็นสิบตัว เราจ้ำอ้าวๆ หยุดเดินกันไม่ได้ เสียงตะโกนเร่งให้คนหน้าเดินเร็วๆ สลับกับเสียงกรี๊ดของสาวๆ และถึงแม้จะก้าวเดินตลอด พอถึงจุดที่หยุดพักได้ก็ต้องไล่แงะพวกมันออกจากรองเท้า ถุงเท้า ข้างละเป็นสิบตัว

ด้วยความเป็นคนแพ้ทากเลยป้องกันเต็มที่ อยากเกาะก็เกาะไปแต่เข้าไปจิ้มไม่สำเร็จหรอก ทว่าสำหรับใครที่ป้องกันไม่ดี หรือไม่ป้องกันเลย ก็อย่างที่เห็นแหละครับ

กลับออกมาถึงที่ทำการผู้ใหญ่บ้านบ้านสะไลสิบเอ็ดโมง เพื่อพบกับข่าวร้ายว่าไม่มีรถโฟร์วีลพาออกไปจุดนัดพบกับสองแถว ทำให้ต้องเดินเท้าต่ออีกสองกิโลเมตร ถึงขนาดนี้แล้วจะบ่นกันทำไม ขึ้นเป้แล้วเดินซะสิ

ถึงจะเต็มไปด้วยเรื่องผิดแผน ก็ต้องบอกว่าป่าภูเข้เป็นอะไรที่ทำให้สะใจทีเดียว และยินดีที่ครั้งหนึ่งได้มาพิชิตหลักหมุด 3-37 แต่น่าเสียดายเมื่อมารู้ภายหลังว่าข้างบนยังมีเส้นทางที่สามารถเดินชมธรรมชาติสวยๆ รวมทั้งมีน้ำตกรางจานที่เราไม่ได้ไป ซึ่งเพราะการสื่อสารกันไม่ดีกับลูกหาบ (แถมลูกหาบเองก็คุยกันไม่ดี) ทำให้เราพลาดโอกาสนั้นไป

แต่ก็เอาเถอะอย่างน้อยเราได้รู้แล้วว่าภูเข้เป็นอย่างไร และหากภูเข้ยังอยู่ที่นั่น หลักหมุดเขตแดนยังอยู่ที่เดิม สักวันหนึ่งเราอาจได้ย้อนกลับมาพิชิตอีกครั้ง… ใช่ไหมล่ะ

ติดต่อคนนำทางและลูกหาบเที่ยวภูเข้ >>> ผู้กองธนิน สภ.บ่อเกลือ 0871839143


ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller


 

About the author