
ทริปเดินทาง : 23-24 ตุลาคม 2564
ผาตัด เขาค้อ เพชรบูรณ์ … ไม่ใช่ภูเขาลูกใหม่เปิดให้เที่ยวใหม่ เพราะสายรถออฟโรดรู้จักกันดีเรื่องความโหดหินของเส้นทางขึ้นยอดเขา แต่เพราะเราไม่มีรถออฟโรดลุยๆ อย่างเขา หากอยากขึ้นไปจะทำอย่างไรล่ะ ก็ต้องแบกเป้วัดใจเดินขึ้นน่ะสิ ขอแค่มีสองเท้าไม่ง้อสี่ล้อก็ด้ายยยยยย
เล่าให้ฟังก่อนว่า ผาตัดเป็นภูเขาลูกเด่นซึ่งเป็นแบ็คกราวน์ของวัดผาซ่อนแก้ว หรือจะพูดอีกอย่างว่าวัดผาซ่อนแก้วตั้งอยู่ตีนผาตัดคงมีความหมายแบบเดียวกัน และได้รับการจัดตั้งเป็นป่าชุมชนตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ
หลายปีมาแล้วผาตัดเป็นจุดหมายต้องพิชิตของสายรถออฟโรดและมอเตอร์ไซค์วิบาก มีถนนสุดสมบุกสมบันขึ้นไปชมวิวถึงยอดเขา ความโหดเรียกว่าระดับสิบกะโหลกเชียวล่ะ พอเวลาผ่านมาเรื่อยก็กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นเพราะวิวข้างบนว่ากันว่าสวยสุดใจ สายวิ่งเทรลเริ่มใช้เป็นสนามซ้อม ก่อนสักหนึ่งปีที่ผ่านมาจะมีอีกกิจกรรมเพิ่มขึ้นคือการเทรคกิ้งหรือเดินขึ้นเขานั่นไง

ว่ากันตามตรงด้วยการมีถนนรถขึ้นถึง อารมณ์เลยไม่ค่อยเหมาะกับสายเทรคกิ้งเท่าไหร่ แต่เพราะสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด จังหวัดเพชรบูรณ์จึงสั่งปิดการเข้าออกหมู่บ้านเข็กน้อย ทำให้ช่วงนี้ไม่มีกลุ่มออฟโรดขึ้นมา สายป่าเลยต้องอาศัยจังหวะดีๆ นี้แหละ มาออกกำลังขาเดินขึ้นไปสักหน่อย
(1)
ทริปนี้จุดนัดพบของผมกับเพื่อนๆ อยู่ที่บ้านไร่อิสระ รีสอร์ทรุ่นบุกเบิกในตำบลแคมป์สน ที่ตั้งของวัดผาซ่อนแก้ว ใครเดินทางด้วยรถสาธารณะให้นั่งมาลง บขส.หล่มสัก หรือ บขส.ใหม่ พิษณุโลก แล้วต่อรถพิษณุโลก-เพชรบูรณ์ วิ่งตามทางหลวงสาย 12 ผ่านแคมป์สนสบายๆ

ตัดฉับเข้าวันขึ้นผาตัด หลังรวมตัวกันครบ พวกเราหกชีวิตก็ขึ้นรถกระบะจากบ้านไร่อิสระไปจุดเริ่มเดินในซอยใกล้ กับภูแก้ว รีสอร์ท ซึ่งตรงนี้เป็นคนละจุดกับเส้นทางออฟโรดที่อยู่บ้านเข็กน้อยนะ แต่เดี๋ยวจะขึ้นไปบรรจบกันด้านบน

มองนาฬิกาเวลากำลังดี หมายถึงแดดแรงกำลังดี 8.30 น. (ฮา…) เริ่มขึ้นเป้ ช่วงแรกเราเดินไปตามทางลูกรังผ่านพื้นที่เกษตรของชาวบ้าน มีทั้งข้าวไร่ ข้าวโพด กะหล่ำปลี ทางขึ้นชันบ้างลงชันบ้าง หาร่มไม้คลุมหัวยากเหลือเกิน



แบกเป้ตามทางลูกรังมาเรื่อยๆ สักสามกิโลเมตร เราค่อยได้ความรู้สึกของการเดินป่าครั้งแรกด้วยการเดินตัดขึ้นป่าไผ่ชันๆ เพื่อเพิ่มความเหนื่อย ที่บอกว่าชันคือชันจริงชันจังชันอะไรหนักหนา ดันขึ้นยาวประมาณหนึ่งกิโลให้หอบแฮ่กกันไป



แบกเป้ตามทางลูกรังมาเรื่อยๆ สักสามกิโลเมตร เราค่อยได้ความรู้สึกของการเดินป่าครั้งแรกด้วยการเดินตัดขึ้นป่าไผ่ชันๆ เพื่อเพิ่มคหลุดจากเนินป่าไผ่มาบรรจบกับทางออฟโรด ช่วงนี้ไม่มีรถใหญ่ แต่ยังพอมีมอเตอร์ไซค์มาท้าประลองฝีมือกันอยู่บ้าง

เดินต่ออีกสักพักเราจะตัดจากออฟโรดเข้าป่ากล้วย ช่วงนี้ไม่โหดเท่าป่าไผ่ สั้นและชันน้อยกว่าแต่ยังคงเหนื่อยเหมือนกัน (ฮา…)


หลังพ้นป่ากล้วยจะกลับเข้าทางออฟโรดอีกครั้ง ยิ้มกว้างกันได้เลยเพราะเป็นช่วงสุดท้ายก่อนถึงลานโล่งยอดผาตัด เหลืออีกไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น สรุปเส้นทางเดินขาขึ้นประมาณ 7 กิโลเมตร พวกเราเดินกันสี่ชั่วโมงครึ่ง

สารภาพเลยครับว่าตอนเพื่อนชวนขึ้นผาตัด ผมนึกไม่ออกว่าการขึ้นเขาเพื่อชมวิววัดผาซ่อนแก้ว วิวชุมชน วิวรีสอร์ทหรูๆ ที่กระจายกันอยู่ไปทั่้วมันจะสวยตรงไหน (วะ) แต่พอเอาเข้าจริงต้องขอกลืนน้ำลายร้องโอ้โหเชียวแหละ วิวไกลสุดลูกหูลูกตามาก มองระยะใกล้เราเห็นสิ่งปลูกสร้างต่างๆ กระจัดกระจาย มีทางหลวงสาย 12 วิ่งผ่ายาวเหมือนงูเลื้อยผ่าน ส่วนระยะไกลคือแถวเทือกเขาต่างๆ สลับซับซ้อนนับไม่ถ้วน มีตัวอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน อยู่มุมนี้มุมนี้
ฝั่งหนึ่งคือเขาค้อ เลยไปเป็นอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง อีกฝั่งมองข้ามตัวเมืองเพชรบูรณ์เลยไปถึงอุทยานแห่งชาติตาดหมอก ถ้าเดินไปอีกฝั่งมองไกลถึงอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว โดยภาพรวมแล้วเป็นวิวซึ่งสวยดีมากๆ

พื้นที่กางเต็นท์เพียบเลือกตามสะดวก มีลานหญ้าโล่งๆ สามสี่จุด วันที่ผมไปตรงกับหยุดยาวมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มใหญ่เดินถึงก่อนมาจับจองพื้นที่ไว้แล้วแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ระวังแค่เรื่องลมกับขี้วัวหน่อยก็พอ (ฮา…) เพราะตลอดทางตั้งแต่ข้างล่างถึงบนนี้มีฝูงวัวชาวบ้านหากินกันเป็นปกติ เรียกว่ามันคุ้นเขาลูกนี้มากกว่าเราเยอะครับ



มาถึงตั้งแต่บ่ายนิดๆ เวลาเหลือเพียบ สภาพอากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็แดดดีขึ้น จะมีอะไรแฮปปี้ไปกว่าการเดินเล่นถ่ายรูปให้รอบอีกล่ะ




ท้องฟ้าเหมือนจะปลอดโปร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่พอใกล้เย็นกลับเริ่มมีเมฆหมอกลอยปกคลุม สรุปเราเลยไม่ได้เห็นแสงเย็นสีสวยๆ ซะงั้น ทว่าได้บรรยากาศดีอีกแบบมาแทน




ค่ำปุ๊บหมอกก็คลุมเต็มพื้นที่ปั๊บ พวกเราเลยได้นั่้งล้อมวงกินหมูกระทะกันแบบมองเห็นแค่กระทะเท่านั้นเอง (ฮา…)


ประมาณทุ่มครึ่งหมอกค่อยเริ่มหาย แล้วสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะเห็นที่ผาตัดก็ได้เห็น แหงนมองฟ้าเจอทางช้างเผือกพาดผ่านกลางหัว ในช่วงนี้มีเวลาถ่ายภาพอีกสักนิดก่อนมันจะตกลับฟ้า เมฆเยอะไปหน่อยแต่ยังดีถือว่าได้เห็นแหละน่า

จุดเด่นของวิวที่ผาตัดอีกอย่างคงเป็นช่วงกลางคืนซึ่งเราจะเห็นแสงไฟจากทั้งถนนหนทาง รีสอร์ท วัดผาซ่อนแก้ว พวกเราก็มานั่งฟินๆ ตากน้ำค้าง พูดคุยชมดาวบนดินกันจนได้เวลามุดเต็นท์ซุกถุงนอนอุ่นๆ

(2)
ก่อนหกโมงเช้า นาฬิกาปลุกดังปุ๊บผมเด้งตัวมาเปิดเต็นท์ปั๊บ ลมพัดปะทะใบหน้าบ่งบอกถึงความเย็นของฤดูหนาวที่กำลังใกล้เข้ามาทุกที ยามใกล้รุ่งวิวจากวัดผาซ่อนแก้วกำลังสวยมาก แม้ไม่มีหมอกก็ไม่สำคัญอะไร เพราะบรรยากาศเช้าวันนี้ต้องใช้คำว่าสุดยอดมาก

ผมเดินตากลมแรงเก็บภาพมุมโน้นมุมนี้ไปเรื่อยจนกระทั่งพอใจ






ประมาณแปดโมงหลังหาอะไรกินรองท้องแล้วค่อยได้เวลาเก็บแคมป์ ขึ้นเป้ เช้าวันนี้ท้องฟ้าใสแดดดีจริงเชียว ถ่ายรูปกันสนุกมากจนผมรู้สึกยังไม่อยากลงเขาด้วยซ้ำ




ขาลงเพื่อความสนุกเราจึงเปลี่ยนมาใช้คนละทางกับขาขึ้น โดยเริ่มลงไปตามเส้นทางออฟโรด เพื่อพิสูจน์ว่าที่บอกว่าโหดคือขนาดไหน ซึ่งพอเห็นแล้วต้องร้องอู้ววววอ้าววววเลยล่ะ ไม่ใช่แค่มีรถโฟร์วีลหรือมอเตอร์ไซค์วิบากดีๆ แล้วจะขึ้นมาได้นะครับ ยังต้องอาศัยฝีมือขั้นสุดอีกด้วย


ลงมาสักพักเจอสองหนุ่มขี่จักรยานแม่บ้านขึ้นมาได้ แต่คำว่ามาได้ไม่ได้หมายความว่าผ่านแบบสบายๆ เพราะต้องถูลู่ถูกังฉุดกระชากลากกันมาแบบนี้แหละ (ฮา…)

เดินลงมาหลายกิโล เราค่อยแยกจากทางออฟโรดที่มุ่งหน้าไปบ้านเข็กน้อยเพื่อตัดลงเขากลับไปยังจุดที่เราเริ่มเดินขึ้นมา

พ้นแนวป่าสั้นๆ เข้าสู่พื้นที่เกษตรอย่างเต็มตัว เดินลงลูกเดียวตามทางลูกรังและรอยล้อรถไถหนาๆ แบบไม่เกรงใจนิ้วหัวแม่โป้งกันเลย รวมเดินลงทางนี้มีระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร เราใช้เวลาสามชั่วโมงครึ่งก็ถึงจุดเดิมเริ่มต้นมีรถมารอรับ พากลับไปอาบน้ำอาบท่าที่บ้านไร่อิสระ เป็นอันจบทริปเดินเท้าพิชิตผาตัดแบบสนุกไม่แพ้ที่ไหน



สรุปความเห็นในมุมมองของผม ผาตัดคงไม่ใช่เส้นทางเทรคกิ้งแบบที่เป็นการเดินป่าจริงๆ หรอกครับ ไม่มีความเป็นธรรมชาติอะไรให้สัมผัสมากนัก แต่หากถามว่าเป็นการเดินขึ้นเขาที่สนุกหรือเปล่า คงต้องบอกว่าสนุกสะใจทีเดียว แถมวิวข้างบนยังจัดว่าสวยและมีลักษณะเฉพาะตัว แตกต่างจากวิวของเส้นทางเดินป่าอื่นๆ ที่เราคุ้นเคยกัน
และจากทริปนี้ผมเรียนรู้ชัดเจนอย่างหนึ่งว่า อย่าเผลอคิดล่วงหน้าเอาเองว่ามันคงเป็นแบบนั้นแบบนี้ คงดีไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ สวยหรือไม่สวยอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัส เพราะฉะนั้นจนกว่าเราจะพบเจอสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง อย่าด่วนตัดสินอะไรล่วงหน้าไปก่อนเลย
ข้อมูลสักนิดก่อนขึ้นผาตัด
- ด้านบนไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ
- มีพื้นที่สะดวกสำหรับกางเต็นท์ หรือผูกเปลได้ตามชายป่า
- บริเวณยอดเขาไม่มีแหล่งน้ำ แต่มีตามทางขึ้นเขา
- ไม่มีลูกหาบให้บริการ
- ระยะทางเดินขึ้น 7 กิโลเมตร ลง 9 กิโลเมตร
- มีสัญญาณโทรศัพท์ทุกเครือข่าย
- คนนำทางเป็นผู้ประกอบการรีสอร์ทนำเที่ยวในพื้นที่
- ผมไปกับบ้านไร่อิสระ ต้องการเบอร์ติดต่อหลังไมค์มาสอบถามได้ครับ
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
https://www.facebook.com/alifeatraveller
