ทริปเดินทาง : 14-17 มกราคม 2557
ลมหนาวพัดแรงจนชักจะรู้สึกหนาวจริงหนาวจังมากขึ้นทุกที ขนาดกรุงเทพยังบอกได้ว่าหนาว…ว…ว…ว
ช่วงนี้เชื่อว่านักเดินทาง นักท่องเที่ยว นักอยากเที่ยว หรือไม่ใช่นักเที่ยวแต่ก็พยายามหาโอกาสไปเที่ยวเป็นบางเวลา คงกำลังชะเง้อแง้แลหาที่เที่ยวตามเขาตามดอยกันยกใหญ่ เพราะแหมบรรยากาศแบบนี้มันช่างน่าขึ้นดอยเสียจริงเชียว
นอกจากสถานที่นอนอาบไอเย็นบนดงดอย อีกสิ่งที่หลายคนกำลังจับตามองและลุ้นตัวโก่งน่าจะเป็นช่วงเวลาการผลิบานของดอกไม้สีชมพู “นางพญาเสือโคร่ง” ซากุระแห่งเมืองไทยนี่แหละ ที่โน่นที่นั่นที่นี่จะบานช่วงไหน ตรงกับวันหยุดหรือโปรแกรมเที่ยวของเราหรือเปล่า เพราะต้องยอมรับครับว่าการเที่ยวชมนางพญาเสือโคร่งเป็นอะไรที่พิเศษมากจริงๆ มีช่วงเวลาบานเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ที่บอกได้เต็มปากเต็มคำเพราะผมเคยมาแล้ว… ขออวดสักหน่อยเถอะ!
ทริปของผมคือการล่านางพญาเสือโคร่งที่ขุนช่างเคี่ยนและขุนวาง เชียงใหม่ กลางเดือนมกราคมต้นปี 2557 ที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จน่าประทับใจยิ่งนัก ซึ่งในโอกาสหลายคนที่กำลังใจจดใจจ่อรอพวกมันบานสะพรั่งป่ากันอีกครั้งเลยขอย้อนความเอาประสบการณ์การเดินทางมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครยังไม่เคยไปจะได้ใช้เป็นแนวทางเที่ยวชื่นชมป่าสีชมพูสวยหวานนี้บ้าง รับประกันว่าเป็นทริปค่าใช้จ่ายไม่แพง เหมาะกับขาแบ็กแพ็ก
การเดินทาง ผมเลือกใช้ยานพาหนะเป็นมอเตอร์ไซค์ครับ ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์เครื่องใหญ่โตอะไรเลย มอเตอร์ไซค์แม่บ้านคันกระเปี๊ยกนี่แหละ และไม่ได้ขี่จากเมืองกรุงไปหรอก เช่าเขาเอาที่เชียงใหม่ ผมเคยขี่เที่ยวตะลอนมาแล้วหลายรอบ ขึ้นดอยสบายใจหายห่วง ขอแค่มีความชำนาญสักหน่อยก็พอ
ทริคการเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวเชียงใหม่มีง่ายๆ คือเดินทางจากเมืองกรุงด้วยรถทัวร์รอบค่ำเพื่อไปถึงเชียงใหม่เช้าอีกวัน ลงรถแล้วมองหาโรงแรมแกรนด์ ไดมอนด์ ข้างโรงแรมมีร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ Bikkey เกียร์ธรรมดา 200 บาท เกียร์ออโต้ 250 บาท ผมเช่าร้านนี้มาตลอด เช่ายาวเกินสี่ห้าวันจนถึงสิบวันไม่เคยมีปัญหา แต่สภาพรถต้องคัดกันสักหน่อย เน้นที่เบรกแน่นๆ เป็นหลัก ส่วนขากลับเตรียมตั๋วรถรอบหัวค่ำ พอเอามอเตอร์ไซค์มาคืนอีกสักพักก็ได้ขึ้นรถกลับบ้านแล้ว วางโปรแกรมแบบนี้ลงล็อกสุดๆ
เอาล่ะที่นี้มาว่าถึงเป้าหมายคือขุนช่างเคี่ยนกับขุนวางดีกว่า ขุนช่างเคี่ยน หรือชื่อเต็มๆ คือสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน เป็นเบอร์หนึ่งของการชมนางพญาเสือโคร่งในเชียงใหม่ เพราะอยู่ใกล้ตัวเมืองที่สุด อยู่บนดอยปุยในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย พูดให้ง่ายนึกภาพออกคือเลยจากวัดพระธาตุดอยสุเทพไปสัก 10 กิโลเมตร ถนนเส้นนี้หลังจากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์เป็นต้นไปคับแคบ ยิ่งถึงดอยปุยแล้วมีแค่เลนเดียวกับไหล่ทาง รถยนต์สวนกันลำบาก คนมาชมนางพญาเสือโคร่งประสบอุบัติเหตุกันบ่อยครั้ง ดังนั้นมอเตอร์ไซค์จึงเป็นพาหานะที่เวิร์คสุด
สำหรับขุนวางหรือศูนย์วิจัยเกษตรหลวง (ขุนวาง) อยู่ในอำเภอแม่วาง ใกล้ตีนดอยอินทนนท์ฝั่งทิศเหนือ ถามอากู๋บอกว่าห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 80 กิโลเมตร มีถนนเข้าถึงสบายพอสมควร ไม่ต้องลุยทางลูกรังอันใดทั้งสิ้น
เอาล่ะ นั่นคือการเตรียมตัวครับ หาข้อมูลพร้อมก็แพ็กกระเป๋าแล้วกระเตงคุณนายหวานใจไปลุยโลดกลายร่างเป็น แว้นบอย & สก๊อยเกิร์ล ที่เชียงใหม่กัน
ทริปเดินทาง 14-17 มกราคม 2577 ตามที่บอกครับคือขึ้นรถทัวร์รอบค่ำเลือกใช้ของนครชัยแอร์มาลงเชียงใหม่ ติดต่อเช่ารถมอเตอร์ไซค์เสียเวลาสิบนาทีก็แว้นขึ้นมาบนดอยแล้ว ความจริงระหว่างทางขึ้นดอยสุเทพ-ดอยปุย มีที่เที่ยวเยอะมากครับ ไล่จากตีนดอยตั้งแต่ สวนสัตว์เชียงใหม่ น้ำตกห้วยแก้ว น้ำตกมณฑาธาร วัดพระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ บ้านม้งดอยปุย แต่ผมเคยเที่ยวมาหมดแล้วจึงตรงดิ่งขึ้นมาเลย แวะจุดแรกคือพักรถตรงจุดชมวิวดอยปุย มองลงไปเห็นบ้านม้งดอยปุยอยู่ไม่ไกล
จากจุดชมวิวมาประมาณ 3 กิโลเมตร ก็ถึงที่หลับนอน ลานกางเต็นท์ดอยปุย โอ้… จุดนี้มีนางพญาเสือโคร่งด้วยแฮะแม้จะไม่มากเท่าไหร่ก็ตาม ที่นี่ไม่มีบ้านพัก มีแค่ลานกางเต็นท์และมีให้เช่าเฉพาะเต็นท์ใหญ่สามคนราคา 250 บาท ซึ่งทางอุทยานฯ กางไว้ให้เรียบร้อย อยากนอนหลังไหนเลือกตามสบาย ผมควักสตางค์จ่ายไปเพราะไม่ได้เตรียมเต็นท์มาเอง ขี้เกียจแบก (ฮา…) ที่นี่มีร้านอาหารปิดประมาณหกโมงทันกินข้าวเย็นพอดี หรือจะสั่งใส่กล่องไว้ก่อนก็ได้ครับ
เอาล่ะถึงเวลาลุยขึ้นขุนช่างเคี่ยน ขี่มอเตอร์ไซค์อีก 2 กิโลเมตรจากลานกางเต็นท์ ถนนแคบแต่สำหรับมอเตอร์ไซค์สบายมาก ไปยังไม่ทันจะถึงทางเข้าก็ต้องเบรกเอี๊ยด น้ำตาจะไหลในที่สุดก็ได้เห็นของจริงสักที!
ถ่ายรูปด้านนอกสักพักก็เข้ามาภายในสถานีฯ ขุนช่างเคี่ยน นักท่องเที่ยวเพียบเชียวแหละถึงจะเป็นวันธรรมดา พวกรถเก๋งหาที่จอดรถลำบากหน่อย ส่วนมอเตอร์ไซค์มีมุมซอกแซกเยอะแยะ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการลั่นชัตเตอร์รัวๆ รัวแบบไม่คิดนับช็อต
ก่อนเดินทางผมตามติดรายงานอัพเดตการบานของนางพญาเสือโคร่งที่นี่มาตลอด ไม่ผิดหวังครับเพราะตอนมาเรียกว่าสวยที่สุดแล้ว กำลังสะพรั่งพอดิบพอดี มองไปทางไหนโลกนี้ก็เป็นสีชมพูชื่นใจเป็นที่สุด ป่าสีชมพูแบบที่อยากเห็น
มีเทเลก็ซูมเข้าไปครับ เก็บมาเน้นๆ
เดินตะลอนถ่ายภาพเล่นบนขุนช่างเคี่ยนจนสักสี่โมงครึ่งค่อยกลับมาลงลานกางเต็นท์ สถานที่กว้างขวางแต่มีคนมานอนเต็นท์รวมผมแล้วอยู่แค่สี่หลัง บรรยากาศสงบเย็นสบายชื่นใจเป็นที่สุด
เช้าวันต่อมาตื่นนอนพร้อมกับความสดใสมากมาย
เอาล่ะ โปรแกรมวันนี้คือกลับไปขุนช่างเคี่ยนอีกครั้ง ผมมันพวกโลภมาก เมื่อวานยังไม่หนำใจ ล้างหน้าล้างตาเสร็จสรรพ (ขอบอกเลยว่าไม่อาบน้ำให้หนาวดึ๋งหรอก) ก็เก็บของมัดท้ายมอเตอร์ไซค์แล้วบิดมาขุนช่างเคี่ยน ช่วงเช้าฟ้าใสมาก พอตอนสายเมฆเริ่มเยอะ แดดหาย แต่ไม่ใช่ปัญหาเลย บรรยากาศสุดฟิน ถ่ายรูปเพลินกันไป
ผมลั่นชัตเตอร์อำลาขุนช่างเคี่ยนภาพสุดท้ายตอนอีกหนึ่งนาทีบ่ายโมง ขาลงแวะพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เดินเล่นถ่ายรูปสักเล็กน้อย
ลงมาต่อกันที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ เดี๋ยวเขาจะหาว่ามาไม่ถึงเชียงใหม่ ฟ้าตอนนี้ใสกิ๊งมากมาย
คืนนี้กลับมาหาที่พักย่านตัวเมืองครับ ให้คุณนายเป็นคนเลือก เธอจิ้มไปที่ วี-เรสซิเดนท์ สี่แยกภูคำ ค่าเสียหายสูงสักนิดคือ 790 บาท แต่ก็ได้ห้องสะอาดสะอ้านตามมาตรฐาน ไม่มีอะไรให้ตำหนิหรือชมเชย ส่วนมื้อเย็นพากันไปหาของกินหลัง มช. มีร้านอร่อยราคาประหยัดหลายร้าน คุณนายเธอชอบอาหารเหนือก็ซัดกันอิ่มหมีพีมันกันไป
วันต่อมาได้ฤกษ์ซิ่งทางไกลสู่ขุนวาง เริ่มต้นต้องออกจากเชียงใหม่ทางทิศใต้ ใช้ถนนเชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงหมายเลข 108) จนถึงอำเภอสันป่าตอง เลี้ยวขวาเข้าถนนสันป่าตอง-แม่วาง (ทางหลวงหมายเลข 1013) แล้วยิงยาวข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่า ถนนบางช่วงเลียบลำน้ำแม่วาง เป็นเส้นทางที่สวยมากครับ รถวิ่งกันน้อย ขี่เพลินสบายอารมณ์ ตอนผมไปมีการสร้างและซ่อมถนนบางช่วงแต่ผ่านไปได้ไม่ยากเย็นอะไร
ขับมาเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ พักอ้อยอิ่งรายทางบ้าง เบ็ดเสร็จประมาณสามชั่วโมงก็ถึงแล้วครับขุนวาง ตอนบ่ายโมงครึ่ง นักท่องเที่ยวพอสมควร อันดับแรกติดต่อเต็นท์ก่อน คืนละ 300 บาท ส่วนอาหารเย็นมีเป็นเซตต้องสั่งไว้ล่วงหน้า ก็ว่ากันไปครับผมไม่เคยมีปัญหาเรื่องการกินการอยู่
ที่ขุนวางเป็นช่วงขาลงของการชมดอกนางพญาเสือโคร่ง คือบานเต็มที่ไปเรียบร้อย เริ่มมีใบแซมขึ้นเยอะ หากมาเร็วกว่านี้สักสัปดาห์คงสวยสะพรั่ง แต่เพียงเท่าที่เห็นถือว่าสวยมากครับ อุโมงค์สีชมพูทอดยาว ถ่ายรูปกันสบายใจจนแทบจะถึงเวลากินข้าวเย็นเลยทีเดียว
วันสุดท้ายต้องมาอำลาขุนวางเสียหน่อย เดินเล่นกันอีกรอบ ฟ้าวันสุดท้ายใสมาก แดดดีเหลือเกิน
สตาร์ตรถตอนสิบโมงเช้าพอดี ใช้เส้นทางเดิมกลับมายังเมืองเชียงใหม่ มีเวลาอีกตั้งครึ่งวันให้เที่ยวต่อ เลยพาคุณนายแว้นไปอุทยานหลวงราชพฤกษ์เสียหน่อย
ผมมาถึงอุทยานหลวงราชพฤกษ์ตอนบ่ายโมงครึ่ง เดินไปเดินมาถ่ายรูปก็สี่โมงกว่าๆ ได้เวลากลับแล้ว แว้นไปสถานีขนส่งอาเขตคืนรถตอนเย็น หาข้าวกินแถวนั้นรอขึ้นรถรอบทุ่ม ทุกอย่างลงตัวไม่มีสะดุด ปิดทริปด้วยความประทับใจ เป็นหนึ่งในทริปที่คุณนายเธอปลาบปลื้มมีความสุขสุดๆ
ป่าสีชมพู… ความสุขในชีวิตสำหรับคนอย่างผม มันก็เป็นแบบนี้แหละครับ
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller