ทริปเดินทาง : 8 สิงหาคม 2558
อัมพวาฮาเฮ จะกี่ทีก็เฮฮา ปีนี้ผมทั้งไปเที่ยวและต้องเดินทางผ่านอำเภออัมพวา สมุทรสงคราม อยู่หลายครั้ง แต่พอมีเหตุให้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กลุ่มสารสนเทศการตลาด สะกิดนิ้วเอ่ยชวนว่าว่างหรือเปล่า ไปเที่ยวอัมพวากันไหม ก็ตัดใจตอบปฏิเสธไปไม่ลง เพราะไม่ว่าจะเที่ยวอัมพวามากี่ครั้ง ยังรู้สึกสนุกนานอยู่เสมอ
แน่นอนว่าเดินทางกับ ททท. ทั้งทีต้องมีคอนเซ็ปต์สักหน่อย ทริปนี้เป็นหนึ่งเส้นทางของโครงการ Chill Out Thailand พาท่องสองจังหวัด สมุทรสงคราม กับราชบุรี เน้นที่แคมเปญการเป็นเมืองต้องห้ามพลาด และประชาสัมพันธ์ปีท่องเที่ยววิถีไทย ซึ่งผมขอคัดย่อยแบ่งภาคเป็นจังหวัดละตอนแล้วกัน (อ่านภาคสอง ราชบุรี > http://wp.me/p7ca93-yW)
ในภาพรวม สมุทรสงครามเป็นเมืองที่เหมาะกับการท่องเที่ยววิถีไทยอยู่แล้วล่ะ เพราะถึงอยู่ใกล้เมืองกรุงศิวิไลซ์เพียงแค่ขับรถชั่วโมงเดียว ทว่าเมืองแม่กลองยังคงกลิ่นอายของความเป็นไทยเต็มเปี่ยม สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ วัดวาอาราม ตลาดน้ำ ชุมชนประมง ล้วนสะท้อนความเป็นไทย ยิ่งมาประกอบกับการเป็นหนึ่งในเมืองต้องห้ามพลาด จึงต้องเรียกว่าเป็นอะไรที่ลงตัวดีแท้
เราเดินทางช่วงต้นเดือนสิงหาคมครับ (ดองนานเชียว!) เน้นที่อำเภออัมพวาเป็นหลัก เช้าวันเสาร์ ออกจาก ททท. สำนักงานใหญ่ ถนนเพชรบุรี ยิงยาวแป๊บเดียวถึงตัวเมืองแม่กลอง ต่ออีกหน่อยเข้าสู่อัมพวา รู้หรือเปล่าว่านอกจากสมุรสงครามเป็นจังหวัดซึ่งเล็กที่สุดในประเทศ ยังเป็นจังหวัดที่มีอำเภอน้อยที่สุดอีกต่างหาก (สามอำเภอเท่ากับภูเก็ต) คือมีแค่อำเภอเมือง อัมพวา และบางคนที
มาอำเภออัมพวาช่วงเช้าสุดสัปดาห์พลาดไม่ได้กับตลาดน้ำท่าคา ที่นี่ยังรักษาวิถีของตลาดชาวสวนผลไม้ดั้งเดิมไว้ได้ค่อนข้างมาก มีการจัดสรรพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวแบบกำลังดีไม่มากหรือน้อยเกิน ปกติชาวบ้านจะนัดพายเรือมาขายของทุกวันข้างขึ้นและข้างแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ 12 ค่ำ หรือทุกห้าวัน โดยยึดถือแบบนั้นมาจนถึงปัจจุบัน เพียงแต่เพิ่มเติมด้วยการเปิดตลาดเสาร์-อาทิตย์ เพื่อรับนักท่องเที่ยวด้วย
ท่าคาต่างจากตลาดน้ำอัมพวาคนละเรื่อง ตั้งแต่สถานที่ตั้งซึ่งอยู่ภายในลำคลองเล็กๆ ไม่ใช่คลองปากแม่น้ำ แถมสินค้าส่วนใหญ่เป็นพืชผลทางการเกษตรจากเรือกสวนชาวบ้านนั่นแหละ มะพร้าว กล้วย ฝรั่ง มะนาว มะละกอ และอีกหลายหลายว่ากันไป ลูกค้าบางรายมาเหมายกลำเพื่อนำไปขายต่อหรือไปต่อยอดแปรรูป ส่วนร้านและเรือของกินอร่อยมีพอประมาณแต่ไม่ได้ละลานตานัก บรรยากาศค่อนข้างท้องถิ่นแท้ๆ เป็นการเติบโตที่ไม่รวดเร็วเกินไปและรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ได้ดีครับ ใครมาเยือนที่นี่ต้องหลงเสน่ห์แทบทุกราย ผมด้วยล่ะคนหนึ่ง
พลาดไม่ได้คือการล่องเรือชมสวนและการทำน้ำตาลปี๊บแบบดั้งเดิมซึ่งหลงเหลือให้เห็นไม่กี่แห่งในประเทศ ที่นี่เขาใช้เรือพาย ล่องไปตามลำคลองเล็กๆ โอบล้อมด้วยสวนมะพร้าวและสวนผลไม้ สดชื่นฉ่ำใจ ฟังเสียงใบพายกระทบน้ำดังจ๋อมแจ๋มเพลิดเพลินเหลือหลาย ค่าใช้จ่ายก็ไม่แพงเลย ลำละสองร้อยบาท นั่งได้ประมาณ 5-6 คน ล่องเรื่อยๆ ราวสี่สิบห้าสิบนาที บรรยากาศดีมากขอบอก
ใครอยากพักในท่าคา เขามีวิสาหกิจชุมชนเปิดเป็นบ้านโฮมสเตย์ด้วยนะ ลองติดต่อกันได้ครับ
อำลาจากตลาดน้ำท่าคาไปอีกไม่ไกลก็ถึงชุมชนบ้านบางพลับ ตำบลบางพรม (ในสมุทรสงครามไปไหนก็ไม่ไกลทั้งนั้น) ตอนนี้ยังชื่อเสียงยังอาจไม่โด่งดังมากแต่กำลังมาแรง เพราะเขาขายวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่น่าสนใจ
บ้านบางพลับเป็นชุมชนชาวสวนเหมือนแทบทุกหมู่บ้านในสมุทรสงคราม แต่มีจุดเด่นตรงการแปรรูปผักผลไม้ซึ่งบางอย่างดูไม่น่ากินเอาเสียเลยให้กลายเป็นของกินเล่นรสชาติสุดยอด เขาเรียกผลิตผลเหล่านี้แบบกิ๊บเก๋ว่า “ผลไม้กลับชาติ” ไม่กลับชาติได้อย่างไรล่ะ คิดดูว่านำเอา บอระเพ็ด เปลือกส้มโอ พริก ซึ่งรสชาติเกินบรรยายมาทำเป็นผลไม้แช่อิ่มรสหวานกลมกล่อมจนไม่เหลือรสชาติดั้งเดิม ขนาดทำบอระเพ็ดให้หวานได้นี่คือสุดยอดแล้ว
มีโอกาสได้ดูขั้นตอนการทำตั้งแต่แรก ทำกันเป็นวิสาหกิจชุมชนได้รับรางวัลระดับชาติมาเพียบเกินบรรยาย
อีกกิจกรรมเด่นที่บ้านบางพลับคือการปั่นจักรยานเที่ยวชมวิถีชุมชน เป็นกิจกรรมเที่ยวแบบโลว์คาร์บอนน่าสนับสนุน ทว่าบังเอิญวันที่พวกเราไปเยือนมีคณะจากภาคเอกชนมาศึกษางานเหมือนกัน เราเลยสละรถจักรยานให้ไปจนหมด แต่ก็แลกกับการได้ฟังเด็กๆ จากโรงเรียนวัดแก่นจันทน์ มาสาธิตการแปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตร อย่างการเผาถ่านจากผลไม้ที่ไม่เหมาะกับการรับประทานแล้วเพื่อนำไปใช้เป็นอุปกรณ์ดับกลิ่น การทำไข่เค็มพอกขี้เถ้า ฯลฯ บอกเลยว่าเยี่ยมมาก และยิ่งเห็นเด็กๆ สนุกกับสิ่งที่ชุมชนตัวเองมีก็อดยิ้มไม่ได้
เอาล่ะ ดูเหมือนท้องเริ่มจะร้องหิวข้าวเที่ยง ททท. เขาพาไปกินกันร้านดังย่านอัมพวา ชื่อร้านน้องอุ้ม หลายคนคงรู้จัก โด่งดังแล้วไม่ขอพูดอะไรเพิ่มเติม (ฮา…) พออิ่มกันเสร็จสรรพก็นั่งย่อยรอ รอเวลาที่เราจะขึ้นไปเอนหลังผ่อนคลายนวดฝ่าเท้าให้แสนสบายกับเรือหัตถาธารายังไงล่ะ
หัตถาธาราที่ว่าคือร้านนวดแผนไทย (และมีรีสอร์ท แอนด์ สปา อยู่ในอำเภออัมพวานี่เอง) ซึ่งเปิดร้านบริการอยู่ที่ตลาดน้ำอัมพวา เขามีบริการพิเศษล่องเรือชมแม่น้ำแม่กลองพร้อมการนวดฝ่าเท้าไปด้วย ค่าบริการเหมาลำสูงสุด 10 คน อยู่ที่ 3,500 บาท ใช้เวลาไป-กลับ ชั่วโมงครึ่ง ในเรือจะมีเตียงนวด 6 ตัว สลับกันครับ ขาไปนวดกลุ่มหนึ่ง ขากลับนวดอีกกลุ่ม แต่ถ้าไปจำนวนคนพอดีเตียงก็นอนนวดยาวๆ สบายเลย หรือหากใครไม่เหมาลำเขามีรายหัวคนละ 350 บาท ออกช่วงเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ แต่มีข้อแม้คือคนต้องเต็มลำนะ ไม่เต็มก็แห้วไป
ปกตินวดหัตถาธาราต้องไปขึ้นเรือที่ตลาดน้ำอัมพวา แต่เรามาแบบพิเศษนิดหน่อยเรือเลยแล่นมารับที่ร้านน้องอุ้ม ลงเรือปุ๊บก็จัดแจงนอนเอนหลังรับลมเย็น นวดฝ่าเท้าผ่อนคลายสบายตัว บอกเลยว่าฟินสุดๆ
โดยทั่วไปเรือจะกลับมาส่งที่ตลาดน้ำ แต่ของเราไปส่งขึ้นฝั่งที่ท่าเรือวัดบ้างกุ้ง เพราะจะไปเยี่ยมชมค่ายบางกุ้ง และโบสถ์ปรกโพธิ์อันโด่งดัง อันซีนไทยแลนด์นั่นยังไง
มาโบสถ์ปรกโพธิ์กี่ครั้งไม่เคยเจอคนน้อยสักทีแม้กระทั่งวันธรรมดา ยิ่งวันเสาร์แบบนี้ต้องเรียกว่าหนาแน่นเอาการทีเดียว แม้เคยมาชมหลายครั้งผมยังรู้สึกว่าที่นี่สวยและขรึมขลังมาก ถึงมุมมหาชนจะโดนทางวัดทำป้ายถาวรขึ้นมาบังความสวยงามก็ตาม และถึงจะชื่อโบสถ์ปรกโพธิ์ทว่าความจริงไม่ได้มีเพียงเฉพาะต้นโพธิ์ปกคลุมโบสถ์โบราณนะครับ มีทั้งหมดสี่พันธุ์คือ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง
ความพิเศษอีกอย่างของโบสถ์ปรกโพธิ์คือไม่มีบานประตูและบานหน้าต่าง ชาวบ้านแซวขำๆ ว่าโบสถ์ 7-11 คือเปิดตลอด 24 ชั่วโมง อยากลองไหว้พระตอนตีสองมาที่นี่ดูได้นะ (ฮา…)
มาถึงแล้วนอกจากไหว้หลวงพ่อนิลมณี พระประธานศักดิ์สิทธิ์ และชมความขลังของโบสถ์ปรกโพธิ์ อย่าลืมมาสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกันด้วย ประวัติศาสตร์บอกว่าที่นี่เคยเป็นค่ายทหารตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาก่อนจะร้างลงไป กระทั่งได้รับการพลิกฟื้นอีกครั้งสมัยกรุงธนบุรี โดยอพยพชาวจีนจากหัวเมืองต่างๆ มาตั้งเป็นค่ายจีนบางกุ้ง เวลาต่อมามีพม่ายกทัพเข้าประชิด พระเจ้าตากจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหามนตรี (บุญมา) ยกทัพมาช่วยเหลือทหารจีนขับไล่ทัพพม่าจนสำเร็จ
เพลินๆ อยู่ที่ค่ายบางกุ้งเสียนาน เหลือบมองนาฬิกาเวลาคล้อยใกล้เย็นย่ำทุกที คงถึงคราวไปเซย์ไฮกับตลาดน้ำอัมพวา จากค่ายบางกุ้งมีเรือหางยาวมารับเราวิ่งตามลำน้ำแม่กลองไปส่งที่ตลาดน้ำอัมพวา ผู้คนคึกคักน่าดู ถึงแม้ว่าจะน้อยลงกว่าช่วงบูมสุดขีดสักสามสี่ปีก่อน แล้วเดี๋ยวนี้มีนักท่องเที่ยวจีนเยอะขึ้นหลายเท่าตัวครับ
ฟ้ายังไม่มืดผมยังเก็บกล้องไว้ก่อน นั่งกินข้าวเย็นแถวนั้นเติมพลังสักนิด พอฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้วค่อยลุยกัน เพราะบรรยากาศโพล้เพล้และกลางคืนที่อัมพวาค่อนข้างมีเสน่ห์กว่าตอนยังไม่มืดพอสมควร
เรื่องของกิน ของอร่อย ของขายต่างๆ คงไม่ต้องบรรยายให้มากความล่ะนะ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กให้ชมอีกหลายแห่ง ทั้งในส่วนที่ชาวบ้านจัดสร้างขึ้น และในโครงการอัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์ ของมูลนิธิชัยพัฒนา รวมทั้งแกลเลอรี่จัดแสดงภาพถ่ายจากกลุ่มช่างภาพในพื้นที่ เรียกว่าเดินกิน เดินเล่น เดินถ่ายรูป เพลินกันไปเลย
นั่นแหละ กิจกรรมหนึ่งวันกับ Chill Out Thailand ที่อัมพวา เป็นการท่องเที่ยววิถีไทยแบบเต็มๆ ซึ่งต้องขอบอกว่าสนุกสนานและมีความสุขมาก นอกจากนี้ถ้าใครมาเที่ยวเอง ในอำเภออัมพวา และอำเภอบางคนทียังมีที่เที่ยววิถีไทยอีกเพียบ ตลาดน้ำบางน้อย ตลาดเก่าบางนกแขวก อุทยาน ร.2 ชุมชนบ้านริมคลอง วัดวาอารามสวยงามทั้ง วัดบางแคน้อย วัดบางแคใหญ่ วัดภุมรินทร์กุฎีทอง วัดบางกะพ้อม ฯลฯ เหมือนที่บอกครับว่าที่นี่คือเมืองแห่งการท่องเที่ยววิถีไทยอย่างแท้จริง
สมุทรสงครามเป็นจังหวัดเล็กๆ อัมพวาก็เป็นเพียงอำเภอเล็กๆ แต่ถึงจะเล็กแบบนี้ก็เล็กดีรสโต ยืนยันอีกครั้งว่าผมมาเที่ยวกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อที่นี่สักนิดเดียว
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller