ทริปเดินทาง : 7 8 และ 11 ธันวาคม 2557
เอ่ยถึงลพบุรีนึกถึงอะไร? สำหรับผม อย่างแรกคือลิง อย่างที่สองคือพระปรางค์สามยอด อย่างที่สามคือทุ่งทานตะวัน อย่างที่สี่คือเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อย่างที่ห้าไม่เกี่ยวกับที่เที่ยวคือพลร่มป่าหวาย – ตอนนี้เปลี่ยนชื่อสุดเท่เป็นหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ… นั่นแหละครับที่นึกออก แต่เพราะที่เหลือนั้นนึกไม่ออกเลยเป็นที่มาของการควานหา ผมเชื่อว่าทุกจังหวัดมีสถานที่พิเศษหมดแหละ อยู่ที่จะได้รับการประชาสัมพันธ์หรือโปรโมตมากน้อยขนาดไหน
ทริปลพบุรีหนนี้เกิดขึ้นเดือนธันวาหน้าหนาวอากาศเย็นสบาย ฟ้าใสแดดแรง ถือว่าทั้งไปทำงาน เก็บข้อมูลทำงานท่องเที่ยวและเที่ยวเองด้วยรวมกัน ความจริงแล้วเป้าหมายหลักเป็นที่ท่องเที่ยวซึ่งรู้จักกันทั่วไปอย่างว่าไว้ในตอนแรก แต่พอมีโอกาสไปแล้วเลยต้องค้นหาสักหน่อยว่ามีอะไรน่าเที่ยวอีกไหม
โดยภาพรวมผมว่าลพบุรียังต้องพัฒนาอีกมาก ถ้าใช้ภาษาของ ททท. เห็นเขาบอกว่าเป็นเมืองรอง คือไม่ได้เป็นจังหวัดดีเด่นด้านท่องเที่ยว มีบางที่โอเค แต่บางที่ก็งั้นๆ และหลายที่ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ แต่เอาเถอะครับหลังจากตะลอนไปตะลอนมาหลายวัน ในที่สุดก็พบของเจ๋งๆ ทำให้ผมหลงรักลพบุรีอย่างน้อยก็ในมุมเล็กๆ เข้าจนได้ ของเด็ดที่ว่าคือภูเขาครับ
เขาวงพระจันทร์ – วัดเขาวงพระจันทร์ อำเภอโคกสำโรง เขาตะกร้าทอง – วัดสุวรรณคีรีปิฎก อำเภอเมือง และเขาพระยาเดินธง – วัดหนองนา อำเภอพัฒนานิคม สามภูเขา สามอำเภอ สามวัด กับสามแคแรคเตอร์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในรีวิวนี้ผมขอแบ่งฉากเล่าแต่ละวัดแต่ละเขาไปแล้วกัน เพราะการเดินทางสะเปะสะปะไม่ได้ต่อเนื่องกันสักนิดเดียวครับ (ฮา…)
1 เขาวงพระจันทร์
เริ่มแรกที่เขาวงพระจันทร์ หลายคนรู้จักเพราะเป็นวัดดังของลพบุรี มีงานประจำปีเดินขึ้นเขาตอนกลางคืนช่วงตรุษจีน การขึ้นยอดเขาต้องเดินขึ้นบันได 3,790 ขึ้น คิดเป็นระยะทางก็ประมาณ 1.7 กิโลเมตร หอบเชียวล่ะ กระทู้ในพันทิปไม่น้อยเคยรีวิวการเดินขึ้นวัดเขาวงพระจันทร์ ผมรู้จักที่นี่จากกระทู้ของเพื่อนๆ ตอนมาหาข้อมูลก่อนไปเที่ยวนี่แหละ
พิกัดการเดินทางไปวัดเขาวงพระจันทร์ไม่ยากเย็น ทางเข้าอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 1 หรือถนนพหลโยธิน จากอำเภอเมืองขึ้นเหนือไปอำเภอโคกสำโรง ถึงหลัก กม.ที่ 179 พบทางเข้าวัดอยู่ด้านขวา เลี้ยวเข้าไปอีก 5 กิโลเมตร ถนนดีเยี่ยมตลอดสาย ที่จอดรถกว้างขวางพอสมควร
ระหว่างทางเข้าวัดจะเห็นพระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่ประดิษฐานตรงเชิงเขา แลดูคล้ายกับวัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม ที่อำเภอปากช่อง นครราชสีมา ทว่าความจริงองค์พระวัดเขาวงพระจันทร์ไม่ใช่สีขาวนะครับ เป็นปูนเปลือยยังสร้างไม่เสร็จต่างหาก ความตั้งใจของวัดคือปิดทองทั้งองค์ให้อร่ามงามตา กว่าจะเสร็จคงอีกหลายปี เพราะพระองค์ใหญ่สูงกว่า 80 เมตร ต้องระดมเงินทุนบริจาคอีกมหาศาล
เอาล่ะ ทีนี้การจะพิชิตเขาวงพระจันทร์ต้องใช้อะไรบ้าง หนึ่งต้องมีร่างกายแข็งแรง ต่อมาต้องมีพลังใจ บวกสุดท้ายคือน้ำดื่มสักขวดครับ (ฮา…)
วัดเขาวงพระจันทร์ด้านล่างเป็นที่ตั้งพระอุโบสถ วิหาร รวมถึงพิพิธภัณฑ์ของเก่า (ของสะสมของหลวงปู่ฟัก อดีตเจ้าอาวาสที่เพิ่งมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2555) เราไปไหว้พระและเที่ยวชมกันก่อนได้ จากนั้นเดินไปตามทางจะถึงจุดเริ่มต้นการขึ้นยอดเขา
บอกเลยว่าบันไดเกือบสี่พันขั้นต้องก้าวขึ้นทุกก้าว ไม่มีลงและไม่มีทางราบ ยังดีว่าตลอดทางจะมีซุ้มขายของและศาลาให้พักเป็นระยะ แต่บังเอิญผมไปวันธรรมดาเลยมีร้านเปิดร้านเดียว สอบถามได้ความว่าบันไดนี้ทางวัดสร้างมานานกว่า 40 ปีแล้วครับ ปรับปรุงสม่ำเสมอ จนมีสภาพอย่างดีเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน
ผมเดินมาเรื่อย แวะพักมาเรื่อย และถ่ายรูปเล่นเรื่อยๆ ในตอนแรกก้าวเร็วเชียว พอชักหมดพลังก็ช้าลงและพักบ่อยขึ้น แถมพักนานขึ้นด้วย (ฮา…) วันที่ผมไปมีครอบครัวกับเด็กประถมไม่กี่ขวบเดินขึ้นไปด้วย ดังนั้นรับรองว่าขอแค่ใจสู้ยังไงก็ถึง ประมาณชั่วโมงกว่าๆ มาถึงศาลาสุดท้ายก่อนยอดเขาครับ ช่างชื่นใจเหลือเกิน
จากนั้นฮึดอีกเฮือก ในที่สุดก็ถึงยอดเสียที ความเหนื่อยไม่หายไปไหนครับ ยังหอบเหมือนเดิม แต่ไม่เสียดายเลยกับเม็ดเหงื่อที่เสียไป
นอกจากวิวสวยๆ บนยอดเขายังประดิษฐานพระไว้เพียบ พระไทย พระจีน รวมถึงสิ่งสำคัญที่สุดคือรอยพระพุทธบาท กับถ้ำเจ้าแม่เกตุมณีศรีประจันต์ ซึ่งเป็นเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับตำนานปรัมปราของภูเขาแห่งนี้ คือพระนางศรีประจันต์ หรือนางพระจันทร์ เป็นลูกของท้าวกกขนาก ยักษ์ซึ่งถูกพระรามแผลงศรยิงลอยมาตกลงที่ยอดเขา การจะคลายศรของพระรามมีเพียงวิธีเดียวคือการนำน้ำส้มสายชูไปราดทำให้ศรเขยื้อน แต่สมัยก่อนคนลพบุรีไม่มีใครกล้านำน้ำส้มสายชูเข้ามาในเมือง (เรื่องที่ครั้งอดีตไม่มีน้ำส้มสายชูขายที่ลพบุรีจริงหรือเปล่า รบกวนชาวเมืองลิงผู้รู้วานบอก?) ทำให้นางพระจันทร์ไม่อาจช่วยชีวิตเท้ากกขนาก นางเลยตรอมใจตายตามบิดา… เป็นนิทานตำนานสนุกๆ ครับ
บนยอดเขาวงพระจันทร์นอกจากจะมีวัดแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของสถานีโทรคมนาคมกองทัพอากาศด้วยและมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ พร้อมกับบ้านพักของเจ้าหน้าที่ บริเวณนั้นเรียกว่าผานางฟ้า มีวิหารซึ่งจะเปิดให้เข้าไปด้านในเฉพาะช่วงเทศกาลประจำปี คือราวตรุษจีน เราไปชมวิวได้แต่ก็ไม่ได้สวยไปกว่าจุดหลัก
สรุปแล้วผมใช้เวลาทั้งเดินขึ้นเขา พักเหนื่อย ถ่ายรูป นั่งคุยกับร้านขายของ เบ็ดเสร็จคือ 1 ชั่วโมง 47 นาที โดยนับจากภาพถ่ายภาพแรกตอนทางขึ้นจนถึงลั่นชัตเตอร์ป้ายวัดบนยอดเขา สำหรับคนแข็งแรงตั้งใจเดินอย่างเดียวสักชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ ส่วนขาลงผมไม่ได้ดูเวลารู้แต่ว่าแทบจะกลิ้งลงมาทีเดียว (ฮา…)
2 เขาตะกร้าทอง
เขาที่สองต่อมาคือเขาตะกร้าทอง หรือวัดเขาสุวรรณคีรีปิฎก อยู่อำเภอเมือง ใกล้กับอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก ไม่ไกลจากเขาจีนแล หรือบริเวณทุ่งทานตะวันยอดฮิตนั่นเอง
พิกัดของเขาตะกร้าทองคืออ่างซับเหล็ก ใช้ทางหลวงหมายเลข 3017 มุ่งหน้าสู่อำเภอพัฒนานิคม ถึงทางเข้าอ่างซับเหล็กก็ตรงเข้าไปเลย เลียบอ่างเก็บน้ำไปเรื่อยๆ จะพบป้ายบอกไปวัดเขาสุวรรณคีรีปิฎก รับประกันว่าไม่มีหลง เราขับรถขึ้นไปถึงวัดแสนสบาย
เขาตะกร้าทองได้ชื่อนี้มาเพราะลักษณะเขาเหมือกับตะกร้าคว่ำครับ เป็นเขาหินปูนขนาดเล็ก ขึ้นไปแล้วจะเห็นอ่างเก็บน้ำซับเหล็กอยู่ใกล้นิดเดียว
จุดเด่นสำหรับผมคือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยมาก (ขอลากเสียงเพิ่มด้วย…) ผมไปรอถ่ายพระอาทิตย์ตกที่นี่สองวัน เก็บไข่แดงดวงเต็มๆ มาครอบครอง
ที่นี่เป็นจุดชมค้างคาวบินออกจากถ้ำยามเย็นด้วย แต่จากประสบการณ์เลยแนะนำว่าถ้าถอยมาดูไกลๆ แถวตีนเขาน่าจะสวยกว่า เพราะผมเข้าไปดูใกล้ปากถ้ำเห็นชัดเจนก็จริง ทว่ามุมไม่เหมาะกับการถ่ายรูป แถมแสงยังไม่ได้อีกต่างหาก
เขาตะกร้าทองนี้ผมแวะไปเฉพาะในช่วงเย็นเพื่อถ่ายภาพพระอาทิตย์ตก เลยไม่มีภาพตอนกลางวันมาให้ชม แต่เท่าที่สัมผัสมาเชื่อว่าถ้าอยากได้ภาพแบบใสๆ ที่นี่ก็สวยพอตัวนะ
3 เขาพระยาเดินธง
ปิดท้ายกับเขาที่สามครับ ผมยกให้เป็นอันซีนลพบุรี ที่นี่ไม่อยู่ในแผนการเดินทางด้วยประการทั้งปวง การได้มาเที่ยวเป็นความบังเอิญล้วนๆ
คือระหว่างทางไปเขื่อนป่าสักฯ ผมเหลือบเห็นป้ายบอกทางไปจุดชมวิวเขาพระยาเดินธง เป็นป้ายเล็กๆ และมีเพียงอันเดียวเท่านั้น ก็เก็บความสงสัยไว้ครับ พอตอนเย็นย่ำเที่ยวเขื่อนเสร็จ เปิดข้อมูลอำเภอพัฒนานิคมในเน็ตเห็นคำขวัญอำเภอท่อนที่สองว่า “สูงตระหง่านเขาพระยาเดินธง” เลยลองคลิกเข้าอากู๋หาข้อมูล พบว่าเส้นทางขึ้นเขาพระยาเดินธงเป็นทางแข่งขันจักรยานเสือภูเขาที่ได้รับความนิยม แต่กลับกันคือดันเป็นที่เที่ยวซึ่งไม่ค่อยมีคนรู้จัก วิวข้างบนเห็นเขื่อนป่าสักฯ กว้างไกลสุดสายตา
ปัญหาคือเขาพระยาเดินธงยังไม่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ถนนขึ้นเขาเป็นทางลูกรัง ผมหาข้อมูลได้แค่นั้น ไม่รู้ว่าระยะทางขึ้นเขาเท่าไหร่ เดินไกลไหม มีแต่นักปั่นจักรยานขึ้นไป เลยตัดสินใจตายดาบหน้าคือจะลองสอบถามชาวบ้านหรือจ้างหารถขึ้นไปหากราคาไม่แพงมาก
พิกัดการขึ้นเขาพระยาเดินธงให้ไปตามซอยพัฒนานิคม 15 (ซอยโสมาภา รีสอร์ท) ตรงยาวจนถึงหมู่บ้านสุดท้าย จากนั้นผมสอบถามชาวบ้านว่าจ้างใครพาขึ้นไปได้ไหม มาเจอคุณลุงคนหนึ่งบอกซ้อนมอเตอร์ไซค์ลุงขึ้นไปได้ ราคาสองร้อย… ได้ยินสองร้อยเท่านั้นแหละผมโอเคทันควัน
ซ้อนมอเตอร์ไซค์สองร้อยไปเรื่อยๆ แล้วเห็นใจลุงครับ เพราะถนนขึ้นเขาพระยาเดินธงไม่ชันมาก แต่ทางลูกรังสมบุกสมบันพอดู สองร้อยสำหรับผมถือว่าคุ้ม ระยะทางจากตีนเขาจนถึงยอดประมาณ 4 กิโลเมตร ส่วนพวกรถโฟร์วีล หรือรถกระบะลุยๆ ขับขึ้นไปเองได้เลยทุกเมื่อเพราะไม่มีเวลาเปิด-ปิด
ใครต้องการชื่อและเบอร์โทรติดต่อคุณลุง หลังไมค์มาได้ครับ ผมไม่อยากเอาเบอร์โทรใครลงในเว็บสาธารณะ เกิดคุณลุงเปลี่ยนเบอร์ขึ้นมาเดี๋ยวจะยุ่ง
พอถึงยอดเขาแล้ว… รัวชัตเตอร์แบบไม่นับช็อตครับ สวยสุดยอดมาก ใจจริงอยากแอ็กท่าถ่ายภาพตัวเองยืนริมผามาก แต่ลมแรงเกินกางขาตั้ง จะไหว้วานลุงแกก็ดูลำบาก เลยช่างมัน ได้ภาพวิวสวยๆ พอใจแล้ว
บนเขาพระยาเดินธงเป็นที่ตั้งของที่พักสงฆ์ สาขาของวัดหนองนา อำเภอพัฒนานิคม ทำให้ผมรู้วิธีการขึ้นอีกอย่างนอกจากการว่าจ้างชาวบ้าน คือไปเลียบเคียงที่วัดหนองนา วัดดวงว่าจะมีใครจากที่วัดขึ้นมาบนนี้บ้างหรือเปล่า
ใช้เวลาถ่ายรูปเล่นพอสมควรแล้วถึงเวลาลง เพราะไม่ได้เตรียมตัวมาค้างแรม ซึ่งถ้าจะค้างคืนก็ไม่ยากครับ เตรียมเต็นท์มากางนอนกันได้ อาจมีพระจำพรรษาบ้างหรือไม่มีบ้าง หรือบางทีอาจมีการจัดกิจกรรมถือศีลปฏิบัติธรรมก็แล้วช่วงเวลา แต่แน่นอนคือจะมาแคมปิ้งบาร์บีคิวปาร์ตี้กินเหล้าไม่เหมาะอย่างมาก เพราะที่นี่ก็ไม่ต่างจากวัด เน้นว่าตั้งใจมาชมธรรมชาติสวยๆ ดีกว่า
มองจากมุมเห็นชัดว่าตอนเช้าพระอาทิตย์ขึ้นต้องเป็นอะไรที่สวยงามมาก หากมีโอกาสผมจะต้องย้อนกลับมาเที่ยวที่นี่ใหม่แน่นอน ไม่ว่าจะขับรถมา ว่าจ้างรถ หรือต่อให้ต้องเดินขึ้นมาก็เถอะครับ!
นี่แหละครับทั้งสามภูเขา สามวัดของลพบุรีที่ผมชอบมากๆ… บางจังหวัดที่ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ แต่ลองมองหาสักนิดเราอาจจะพบหลายสิ่งซึ่งทำให้หลงรักตลอดไปเลยเชียว
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller