ดอยหลวงเชียงดาว ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยขึ้นไปพิชิตสวรรค์

chiangdow_000

ทริปเดินทาง : 8-10 พฤศจิกายน 2559

ดอยสูงอันดับสามของประเทศ 2,225 เมตร แต่เป็นลานกางเต็นท์สูงที่สุด แค่นั้นก็ท้าทายเพียงพอให้ลองดูสักตั้ง  สำหรับคนชอบเที่ยวธรรมชาติครั้งหนึ่งคงต้องขึ้นไปยลความงดงามให้เห็นเป็นบุญตา และหลังจากมองดูท่าทีอยู่พักใหญ่ ปีนี้ในที่สุดผมก็มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติยอดฮิตที่สุดแห่งหนึ่งในบ้านเราเสียที

เข้าใจกันก่อนว่าดอยหลวงเชียงดาว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เปิดให้เที่ยวตั้งแต่ 1 พ.ย. ถึง 31 มี.ค. เท่านั้น จำกัดให้ค้างแรมด้านบนเพียง 150 คน ต่อวัน ดังนั้นเราจึงต้องจองเสียก่อน ไม่ใช่นึกจะไปก็เดินขึ้นได้เลยนะ เดี๋ยวนี้มีทัวร์ทั้งจากกรุงเทพและท้องถิ่นจัดกันเยอะ แต่ผมไม่ชอบ อยากไปเองมากกว่า ซึ่งวิธีการจริงๆ ง่ายแสนง่าย

chiangdow_001

โทร 053-456-623 บอกเจ้าหน้าที่ว่าเราอยากขึ้นวันไหน นอนกี่คืน ไปกี่คน ให้รถรับ-ส่งพาขึ้นทางไหนลงทางไหน ลูกหาบกี่คน พอเรียบร้อยค่อยส่งอีเมล์ยืนยันที่ [email protected] เป็นอันเสร็จสิ้น

อย่างไรก็ตามคำว่าง่ายหมายถึงวิธีการ แต่วันที่คุณจะไปมันง่ายด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ คนเต็มก็เป็นอันจบเห่ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ผมเลือกเที่ยวช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน คนยังไม่เยอะ บวกด้วยเป็นวันกลางสัปดาห์ อังคาร พุธ พฤหัส ดังนั้นพอติดต่อเข้าไปที่เขตฯ แค่ครั้งเดียวก่อนการเดินทางประมาณสองสัปดาห์ทุกอย่างก็เรียบร้อย

chiangdow_002

รายละเอียดของผมคือ สองคืน หกคน ขึ้นทางเด่นหญ้าขัด ลงปางวัว ต้องการรถรับ-ส่ง จากตัวอำเภอเชียงดาว ลูกหาบสองคน (คนละ 20 กิโลกรัม) สำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ผมสรุปให้ตอนท้ายครับ

ความจริงตอนจองมีสมาชิกแน่นอนแค่ผมกับเพื่อนอีกคน แล้วค่อยมาหาเพื่อนหารค่ารถค่าลูกหาบเพิ่มทีหลัง เดี๋ยวนี้การหาเพื่อนเที่ยวทางโซเชียลง่ายจะตายไป แป๊บเดียวสมาชิกครบหกคน เที่ยวกับเพื่อนใหม่แบบนี้แหละเจ๋งดี


(1)

ตัดฉับมาที่วันเดินทาง จุดรวมพลอยู่ที่หมอชิต เราหกคนจองรถทัวร์ กทม.-บ้านท่าตอน 18.30 น. ของ บขส. แจ้งลงที่จุดจอดอำเภอเชียงดาว รถป.1 ราคา 533 บาท หากใครอยากนั่งวีไอพีก็มีนะ ถ้าอยากประหยัดมากๆ นั่งรถไฟฟรีไปเชียงใหม่ แล้วค่อยต่อรถโดยสารเชียงใหม่-เชียงดาว ก็ได้ แค่วิธีนั้นจะช้าและมีกระทบกับเวลาขึ้นดอย

ช่วงที่เราไปกรมอุตุฯ ประกาศว่ามีมรสุมเข้า แต่ต้องเดินหน้าต่อครับ วัดดวงลุยไหนลุยกันไม่มีเกี่ยง

chiangdow_003

ตลอดทางรถฝนตกเป็นระยะแม่นตามคำพยากรณ์ หกโมงครึ่งตอนเช้ารถมาถึงอำเภอเชียงดาว จอดหน้าโรงแรมเชียงดาว อินน์ รถรับ-ส่งของเรามารอเรียบร้อย โยนของขึ้นรถแล้วมุ่งหน้าสู่ตลาดเพื่อเตรียมเสบียงกันเลย

ของสำคัญที่สุดในการพิชิตเชียงดาวคือน้ำดื่ม เพราะข้างบนไม่มีแหล่งน้ำใดๆ เราซื้อขวดใหญ่ 1.5 ลิตร สี่แพ็ค ขวดเล็กอีกแพ็คสำหรับพกตอนเดินขึ้น รวมถึงของสดสำหรับทำกินกันข้างบนนิดหน่อย

chiangdow_004 chiangdow_005

จากนั้นรถพาเราไปที่ที่ทำการเขตฯ เพื่อลงทะเบียน จ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมทั้งมัดจำขยะคนละ 100 บาท ใช้เวลาไม่นานครับ ถ้าหากใครอยากจะเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ก็จัดการให้เรียบร้อย

เราจะมาเจอกับลูกหาบที่นี่ หนึ่งคนแบก 20 กิโลกรัม คิด 450 บาท ต่อคนต่อวัน นับว่าลูกหาบที่นี่แบกค่อนข้างน้อยนะ น้ำหนึ่งแพ็คก็ปาเข้าไป 9 กิโลกรัม หนึ่งคนแบกน้ำสองแพ็คก็แทบหมดโควต้า ผมเลยต่อรองขอเขาเพิ่มเป็น 25 กิโลกรัม เน้นอาหารเป็นหลักเพราะไม่ต้องแบกลง แล้วจ่ายส่วนเกินกิโลกรัมละ 40 บาท เป็นอันตกลงวินวินทั้งคู่

chiangdow_006 chiangdow_007

ล้อหมุนอีกครั้งแปดโมงครึ่ง คราวนี้มุ่งหน้าสู่หน่วยพิทักษ์ฯ ขุนห้วยแม่กอก หรือที่เราคุ้นเรียกกันว่าเด่นหญ้าขัด เป็นหนึ่งในสองเส้นทางเดินขึ้นดอยหลวงเชียงดาว ถนนลูกรังค่อนข้างสมบุกสมบันทีเดียว ใช้เวลาจากที่ทำการเขตฯ เกือบสองชั่วโมง

chiangdow_008 chiangdow_009

จุดนี้เราจะต้องเดินยาว 8.5 กิโลเมตร ไกลกว่าขึ้นทางปางวัว 2 กิโลเมตร แต่ง่ายกว่า ไม่ชันเท่าไหร่ เพราะความสูงที่เด่นหญ้าขัดก็ราว 1,450 เมตร ขณะที่ปางวัวแค่ 1,150 เมตร ทิวทัศน์สวยกว่า และแม้จะเป็นวันกลางสัปดาห์แต่นักท่องเที่ยวพอสมควร เราจัดการข้าวของสัมภาระแล้วก็ลุยโลด

chiangdow_010 chiangdow_011

ก่อนออกตัวผมไม่ลืมแจ้งคอนเซ็ปต์การเดินกับเพื่อนใหม่ “ขึ้นกลุ่มแรกถึงกลุ่มสุดท้าย” เพราะว่าสมาชิกสายพักสายแช่เราเยอะ (ฮา…)

chiangdow_012

ที่เขาว่าเด่นหญ้าขัดเดินสบายก็เห็นจะจริงดังว่า อากาศสดชื่น ฝนพรำเป็นระยะ วิวสองข้างทางเขียวชอุ่ม หลังจากเที่ยวป่าหน้าฝนมาต่อเนื่องหลายเดือน ยอมรับเลยว่าผมเปลี่ยนรสนิยมมาหลงรักฟ้าขาวหมอกบางมากกว่าตอนฟ้าแจ่มแดดจัดเสียแล้วล่ะ

chiangdow_014 chiangdow_013 chiangdow_015 chiangdow_016

เดินเรื่อยๆ เมื่อยก็หยุดพัก แวะกินข้าวที่พกขึ้นมากันด้วย จนมาเจอนางเอกแห่งดอยหลวงเชียงดาว ดอกเทียนนกแก้ว ไม้ประจำถิ่น ออกดอกสวยสั้นๆ ช่วงปลายฝนต้นหนาวเท่านั้น หากมองดูด้านข้างจะคล้ายนกกางปีกครับ ขณะที่ดอกไม่อื่นๆ ก็มีให้ชมเยอะแยะ

chiangdow_017 chiangdow_018 chiangdow_019 chiangdow_020

บ่ายโมงเศษๆ เรามาถึงสามแยก เป็นจุดพบกันของทางปางวัวกับเด่นหญ้าขัด ถือว่าเป็นจุดครึ่งทาง จากนี้ไปมีทางเดินเดียวซึ่งชันขึ้นเรื่อยๆ สำหรับพวกเราที่ขึ้นทางเดินหญ้าขัด ส่วนคนขึ้นทางปางวัวน่ะผ่านความชันมาจนชาชินแล้ว (ฮา…)

chiangdow_021

ทางชันขึ้นจริงๆ ครับ โดยเฉพาะช่วงสุดท้ายก่อนถึงลานกางเต็นท์ แต่ไม่ถึงกับหนักมาก พวกเราผ่านมาได้สะดวกโยธิน เดินไป พักไป ถ่ายรูป คุยเฮฮากันไป มีคนเดินผ่านเราไปทีละสองคนสามคน คงคอนเซ็ปต์ขึ้นกลุ่มแรกถึงกลุ่มหลังสุดไว้อย่างเหนียวแน่น

chiangdow_022 chiangdow_023 chiangdow_024 chiangdow_025

ในที่สุด 16.45 น. นับจากถ่ายรูปที่ป้าย 10.50 น. เราก็มาถึงที่หมาย ลานกางเต็นท์อ่างสลุง ความสูงประมาณ 2,050 เมตร ถือว่าทำเวลาได้ดีพอตัวสำหรับสาย (นั่ง) แช่อย่างเรา

chiangdow_026

ที่ว่างกางเต็นท์กระจัดกระจายอยู่หลายจุด ทั้งลานกว้าง ลานเล็กๆ หรือตามแนวป่า สำหรับกลุ่มเราลูกหาบมาจองที่เหมาะๆ ไว้ให้เรียบร้อย พอคนมาครบก็ช่วยกันจัดการต่อจนได้บ้านของพวกเราในสองคืนนี้

chiangdow_027 chiangdow_028

สำหรับห้องน้ำที่ดอยหลวงเชียงดาว รู้กันอยู่ว่าเป็นส้วมหลุม เจ้าหน้าที่กางผ้าบังตาเหมือนห้องน้ำฉุกเฉินให้ใช้สำหรับเหตุจำเป็น สิ่งที่เราต้องพกมาด้วยก็พวกกระดาษชำระเปียกทำสำหรับทำความสะอาดประมาณนั้น

เพราะฟ้าปิดหมอกขาวทั้งดอย เราเลยไม่ต้องไปไหนต่อ ล้อมวงทำกับข้าวร่วมกัน มีจานหลักเป็นอาหารซองสำเร็จรูป ไข่ต้ม ผัดผัก ช่วงนี้น่าจะเป็นไฮไลท์ของการแคมปิ้งล่ะครับ เป็นอะไรซึ่งเฮฮาเหลือเกิน จากหลายคนไม่เคยรู้จักกันกลายมาเป็นมิตรสหายเพราะกินข้าวกลางป่าด้วยกันแบบนี้แหละนะ

chiangdow_029 chiangdow_030

คืนนั้นเรานั่งคุยเล่นเกมเฮฮาจนสักประมาณสามทุ่ม (มีเจ้าหน้าที่กับลูกหาบมาแจมร่วมหัวเราะด้วย) ปรากฎว่าฝนโหมกระหน่ำไม่บันยะบันยัง ทนได้สักพักก็ไม่ไหวต้องหลบเข้าเต็นท์ไปนอนฟังเสียงสายฝนเป็นเพลงกล่อมยามค่ำคืนแทน


(2)

ฝนตกหนักตลอดทั้งคืนเหมือนที่กรมอุตุฯ ว่าไว้ ความหวังจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเหือดหาย โผล่ออกมาจากเต็นท์ตอนเช้าหมอกก็ขาวโพลนไปทั่วพื้นที่

chiangdow_031 chiangdow_032

เรากินขนมปัง หมูหยอง แยม นม ข้าวที่เหลือจากเมื่อวานรองท้อง ตกลงว่าเป็นตายอย่างไรวันนี้ก็จะต้องเดินเที่ยวให้ได้ มีจุดชมวิวสองแห่งใหญ่คือยอดดอยหลวง กับยอดกิ่วลม ในครึ่งวันเช้าเราเลือกไปกิ่วลมก่อนครับ ช่วงแรกเป็นทุ่งหญ้าเนินเขา ก่อนจะตัดเข้าแนวป่าเป็นทางชันขึ้นเขา ทางลื่นสุดๆ จากฝนตกกระหน่ำ ทุลักทุเลพอประมาณ

chiangdow_033 chiangdow_034 chiangdow_035 chiangdow_036

ผมเดินตามหลังเพื่อนๆ นิดหน่อยเพราะใช้เวลาอยู่กับสิ่งเหล่านี้ครับ สดชื่นเหลือเกิน

chiangdow_037 chiangdow_038 chiangdow_039

เมื่อขึ้นมาถึงสันกิ่วจะมีทางแยกไปยอดกิ่วลมเหนือกับยอดกิ่วลมใต้ เราไปทางเหนือกันก่อน เดินขึ้นมาเรื่อยๆ ท้องฟ้าเริ่มดูดีขึ้นแฮะ เปิดๆ ปิดๆ หมอกลอยไปลอยมาสดชื่นสุดๆ จริงเชียว

chiangdow_040 chiangdow_041 chiangdow_042 chiangdow_043

นอกจากสายหมอก ที่นี่มีดอกไม้ป่าสวยๆ มากมายครับ เราเจอตลอดทางตั้งแต่เด่นหญ้าขัดจนมาถึงอ่างสลุง แต่โดยเฉพาะที่กิ่วลมเหนือนี่สวยจริงๆ ถ่ายรูปกันเพลินเชียว

chiangdow_045 chiangdow_044 chiangdow_046 chiangdow_047

ยอดกิ่วลมต่ำกว่ายอดดอยหลวงไม่เท่าไหร่หรอกครับ มองจากจุดนี้เห็นยอดดอยหลวง กับลานกางเต็นท์อ่างสลุงอยู่ตรงเชิงดอย มีเต็นท์ของเรา ห้องน้ำ พออยู่สูงขนาดนี้เห็นหมดทุกอย่างแหละครับ (ฮา…)

chiangdow_048 chiangdow_049

สิบเอ็ดโมงเราลงจากกิ่วลมเหนือไปทางกิ่วลมใต้บ้าง ขึ้นมาถึงปรากฎว่าฟ้าปิดเสียอย่างนั้น เลยเปลี่ยนใจไปกินข้าวกันดีกว่าเพราะท้องเริ่มร้อง เดินป่าปีนเขาอย่างนี้ใช้พลังงานเยอะเหลือเกิน

เรากำลังพักผ่อนเรื่อยเปื่อยอยู่ที่เต็นท์ตอนที่ฝนตกกระหน่ำอีกรอบประมาณครึ่งชั่วโมง ทว่าหลังจากฝนหยุดอากาศเริ่มมีเค้าลางว่าจะดีขึ้น เจ้าหน้าที่บอกว่าดูจากท้องฟ้าแล้วช่วงเย็นๆ ฟ้าคงเปิดให้เห็นอะไรดีๆ ได้ยินแบบนั้นกำลังใจเรามากขึ้นเยอะ พอนาฬิกากระดิกถึงบ่ายสามโมง เราตัดสินใจกันว่าควรเดินขึ้นยอดดอยได้แล้วล่ะ

ช่วงก่อนเดินขึ้นหมอกยังปกคลุมไม่เห็นยอด แต่พอขึ้นมาเรื่อยๆ ก็มีแววดีอย่างที่เจ้าหน้าที่บอก อากาศเริ่มเปิด บรรยากาศสดชื่นสวยงามมาก ถ่ายรูปกันเพลิน

chiangdow_051 chiangdow_050 chiangdow_052

ประมาณ 45 นาที เราก็มาถึงในที่สุด ผู้พิชิตดอยหลวงเชียงดาว 2,225 เมตร สูงที่สุดอันดับสามของบ้านเรา

chiangdow_053

ถ่ายรูปเล่นไม่กี่อึดใจเท่านั้นแหละ สายตาผมพลันเหลือบไปอีกมุมเห็น… ฟ้าเปิด

chiangdow_055 chiangdow_054

โอ้… ไม่รู้จะอุทานเป็นภาษาอะไรดี หมอกฟุ้งกระจายขาวโพลนหายไปกลายเป็นทะเลหมอก (ฝน) งามหมดจดปานเรายืนอยู่บนสวรรค์ จะรออะไรล่ะครับ ลั่นชัตเตอร์เข้าไปสิ มุมนั้นก็สวย มุมนี้ก็งาม มุมนั้นก็สุดยอด

chiangdow_056 chiangdow_057 chiangdow_058 chiangdow_059chiangdow_060

ไม่รู้จะอธิบายยังไงจริงๆ ให้ภาพถ่ายอธิบายแทนแล้วกัน (ฮา…)

chiangdow_061 chiangdow_063 chiangdow_062 chiangdow_064 chiangdow_065

เราใช้เวลาเสพภาพดื่มด่ำอยู่อย่างนั้นชนิดสุขกันสุดๆ พร้อมความหวังว่าพระอาทิตย์คงตกสวยแน่นอน แต่ขณะที่พระอาทิตย์ใกล้ลับ กลับปรากฎมวลหมอกขาวมหาศาลพัดมาเต็มที่ปิดแสงสีทองของเราเสียอย่างนั้น แต่หากถามว่าเสียดายไหม ผมบอกเลยว่าไม่ สิ่งที่ได้เห็นมาในวันนี้มันเกินพรรณาแล้วล่ะ

chiangdow_066 chiangdow_067

คืนนั้นฝนยังคงตกๆ หยุดๆ เราตื่นเช้ามาโดยมีหมอกขาวห่มคลุมสดชื่นดีไม่น้อย กินข้าวมื้อสุดท้ายพร้อมทำเสบียงไว้กินกลางทางมื้อเที่ยง เก็บข้าวของ เก็บขยะ อะไรที่เราเอามาก็ต้องเอาลงไปด้วย

ขาลงเร็วแต่ลื่น วัดพื้นกันคนละสองสามครั้งตามระเบียบ และเมื่อมาถึงทางลงทางปางวัวที่เขาว่าปราบเซียนหนักหนาก็เป็นไปอย่างยากลำบาก ฝนตกหนักหลายวันทำให้ทางเละเทะเหมือนเดินลุยสไลเดอร์ปลักโคลนยังไงยังงั้น ถึงขนาดผมต้องเก็บกล้องใส่กระเป๋ามิดชิดไม่ได้หยิบออกมาถ่ายสักรูป ยากขนาดนั้นล่ะนะคิดเอาแล้วกัน (ฮา…)

กว่าจะลงมาถึงที่จอดรถทางปางวัวก็ประมาณบ่ายโมงครึ่ง รถมารอรับเราไปที่ทำการเขตฯ อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะไปส่งหน้าโรงแรมเชียงดาว อินน์ เป็นอันจบภารกิจทริปนี้

ผมนั่งยิ้มเปิดดูรูปบนยอดดอยหลวงเชียงดาววนอยู่หลายเที่ยวตอนนั่งรถเข้ากรุง คิดไม่ตกจริงๆ ว่าจะหาคำใดมาบรรยายความงามซึ่งเราพบเห็น คำว่าสวยมาก งดงามมาก สวยจริงๆ สวยที่สุด มันยังเล่าความรู้สึกได้เพียงแค่เสี้ยวเดียว เหมือนภาพถ่ายที่ดูยังไงก็สวยไม่ได้ครึ่งของภาพจริง

และบางครั้งผมแอบเผลอถามตัวเองขึ้นมาว่า “นี่เราขึ้นไปเที่ยวสวรรค์กันมาใช่ไหม”


ค่าใช้จ่ายในการเที่ยวดอยหลวงเชียงดาว
(ไม่รวมค่าเดินทางจาก กทม. และค่าอาหารต่างๆ)

ค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว 20 บาท ต่อคน
ค่าธรรมเนียมยานพาหนะ 50 บาท ต่อคัน
ค่าธรรมเนียมกางเต็นท์ 30 บาท ต่อหลัง ต่อคืน
ค่าลูกหาบ (20 กิโลกรัม) 450 บาท ต่อคน ต่อวัน (นับจากวันขึ้นถึงลง)
ค่ารถ เขตฯ-เด่นหญ้าขัด 1,200 บาท ต่อเที่ยว
ค่ารถ เขตฯ-ปางวัว 600 บาท ต่อเทียว
ค่ารถ เขตฯ-ตลาดเชียงดาว 100 บาท ต่อทริปไป-กลับ
ค่ามัดจำขยะ 100 บาท ต่อคน รับเงินคืนเมื่อนำขยะลงมาข้างล่าง

ทริปของเราหกคน หารเฉลี่ยรวมค่าอาหาร แต่ไม่รวมค่ารถทัวร์ คนละประมาณ 1,300 บาท


ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller

Back Cover New


About the author