ทริปเดินทาง : 3-5 มิถุนายน 2558
“ที่ไหนนะ… โรแมนติค รีสอร์ท แอนด์ สปา เขาใหญ่… ว่างๆ ไปสิ… ไม่ว่างก็ต้องทำให้ว่างล่ะ” เป็นการปิดฉากเจรจาแบบฉับไว เมื่อมิตรสหายถามไถ่ว่าสนใจเที่ยวเขาใหญ่หรือเปล่า มีโรงแรมหรูบรรยากาศดีให้นอนด้วย เรื่องเที่ยวแบบนี้หากผมตอบปฏิเสธคงต้องหามเข้าโรงหมอไปเช็คสมองว่าปกติดีหรือเปล่า
ว่าแล้วขอดูหน้าตา โรแมนติค รีสอร์ท แอนด์ สปา สักหน่อย คล้ายว่าเคยขับรถผ่านก่อนทางขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ฝั่งถนนธนะรัชต์ อำเภอปากช่อง เปิดอากู๋ค้นภาพเด้งมาพรึ่บ ผมตะโกนบอกคุณนายคู่ชีวิตโดยพลันว่า “เอาบิกินี่ไปด้วยนะจะได้แปลงเป็นฮิปโปไปโดดน้ำเล่น!”
ผมเที่ยวเขาใหญ่มาหลายครั้ง เส้นทางชำนาญดี คำนวณเวลาสามวันสองคืน คิดสักนาทีเดียวก็วางแผนเสร็จสรรพ งวดนี้ขอแบบชิลๆ สลัดคราบแบ็คแพ็คเกอร์ทิ้งสักนิด เน้นพักผ่อนเป็นหลัก ถ่ายรูปเล่นกับสถานที่เก๋ๆ รอวันสุดท้ายก่อนกลับค่อยขึ้นเขาใหญ่ แล้วข้ามฝากมาลงฝั่งเนินหอม จังหวัดปราจีนบุรี ปิดทริปกลับบ้าน
พอแผนการเดินทางพร้อมแล้วก็กรอเทปเดินหน้าถึงตอนสตาร์ตรถกันเลย
ทริปนี้ 3-5 มิถุนายน ออกตัวสายสบายๆ ไม่เร่งรีบ ขับรถไปกับคุณนายสองคน ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร เส้นพหลโยธินผ่านสระบุรี เข้าถนนมิตรภาพ ใช้เวลาราวสามชั่วโมง เที่ยวเขาใหญ่แนะนำว่าควรมีรถส่วนตัวครับ หากคิดจะโบกไปกับกลุ่มเพื่อนก็เฮฮาอยู่ แต่เที่ยวกับแฟนคงดูไม่จืด (ฮา…)
จุดแรกที่แวะคือฟาร์มโชคชัยเพื่อซื้อของฝาก… เพราะไม่ได้กลับทางนี้เลยต้องจัดของฝากตั้งแต่เพิ่งมาถึง ไม่ต้องเข้าชมฟาร์มก็มีพื้นที่เที่ยวเล็กๆ ด้านนอกนะ ให้อาหารลูกวัว ม้า แกะ กินไอติม ถ่ายรูปเล่นว่ากันไป ผมคิดว่าจะซื้อของและกินไอติมแป๊บเดียว ฝนดันตกกระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตา รถก็จอดเสียไกล เลยต้องหลบอยู่พักใหญ่
ฝนซาฟ้าเปิดแล้วค่อยออกตัว เข้าเขาใหญ่ด้วยทางหลวงชนบท นม.1012 นักท่องเที่ยวส่วนมากคุ้นปากเรียกว่าเส้นแดรี่โฮม เพราะมีร้านแดรี่โฮมตั้งอยู่ตรงทางเข้า แต่คนท้องถิ่นเขาเรียกว่าถนนผ่านศึก (กุดคล้า-ผ่านศึก) เเป้าหมายคือสวนดอกไม้ เดอะ บลูม แต่ระหว่างทางผ่าน พีบี วัลเล่ย์ เลยโฉบเข้าไปดูสักหน่อยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจากที่เคยมาหรือเปล่า
ได้ข้อมูลมาว่าเขามีรถนำเที่ยวชมไร่องุ่นและโรงผลิตไวน์ วันละสามรอบ 10.30 13.30 15.30 ค่าตั๋วผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 200 บาท ผมไปถึงบ่ายสอง รถรอบบ่ายครึ่งออกไปแล้ว คุณนายบ่นเสียดายอดเที่ยวไร่ด้านในเลย ผมตีหน้าเศร้าไปด้วยตามระเบียบ แต่ในใจยิ้มปริ่มเพราะประหยัดตังค์ได้ตั้งหกร้อย (ฮา…)
ถ่ายรูปเล่น เก็บบรรยากาศแถวร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกแบบหอมปากหอมคอ
เลยจากพีบี วัลเล่ย์ อีกนิดเดียวก็ถึง เดอะ บลูม มีสร้อยท้ายว่า บาย ทีวีพูล (ป่านฉะนี้เจ๊ติ๋มจะเป็นไงบ้างน้อ) ผมเคยมาตั้งแต่ตอนยังไม่เปิดเป็นทางการด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จดีเพราะต่อเติมโน่นนี่ไปเรื่อย โดยรวมมีอะไรเพิ่มขึ้นกว่าตอนมาหนแรกเยอะเลย ทว่าข้อเสียคือค่าเข้าชม 100 บาท ราคาแบบนี้เป็นการกดดันตัวเอง โอกาสที่คนจะผิดหวังมีมากกว่าสมหวังนะ
ยิ่งช่วงนี้อากาศร้อนจัดทำให้ดอกไม้ไม่หลากหลาย สีสวยก็จริงอยู่แต่เป็นดอกไม้ที่พบเห็นตามสวนสาธารณะทั่วไป แค่พอถ่ายรูปเล่นเพลินๆ ประมาณหนึ่ง ยังไม่ถือว่าคุ้มค่าตั๋ว คงต้องถามคนเคยไปเที่ยวหน้าหนาวอากาศดีๆ ว่าจะสวยขนาดไหน
ออกจาก เดอะ บลูม ก็ถึงคิวไฮไลท์ของทริป เป็นอื่นใดไม่ได้นอกจากที่พัก โรแมนติค รีสอร์ท แอนด์ สปา นั่นยังไง จากถนนผ่านศึกมาบรรจบกับถนนธนะรัชต์ หากเลี้ยวขวาคือด่านขึ้นเขาใหญ่ ส่วนโรแมนติค รีสอร์ท ให้เลี้ยวซ้าย จะอยู่ก่อนถึงปาลิโอนิดหน่อย ป้ายบอกเบ้อเร้อเห็นแต่ไกล ด้านหน้ารีสอร์ทคือครัวจันผา ซึ่งถือเป็นร้านอาหารของทางโรงแรมเขาด้วยครับ
ปกติผมไปไหนมาไหนต้องแบกเป้ใบโต สะพายกระเป๋ากล้องเดินตุปัดตุเป๋ พอมีพนักงานมาหอบหิ้วสัมภาระพาขึ้นลิฟต์เดินไปส่งถึงห้อง มีพนักงานมายิ้มหวานเสิร์ฟเวลคัม ดริ๊งค์ มีพนักงานมายกมือไหว้สวัสดีแล้วก็ให้รู้สึกเขินตะหงิดเหมือนกันแฮะ (ฮา…)
แวบแรกเหยียบ โรแมนติค รีสอร์ท แอนด์ สปา แทบทำเอาคุณนายเธอกรี๊ดแตก เพราะบรรยากาศช่างโรแมนติคสมชื่อ อาคารสามหลังประกบกันเป็นตัวยู มีสระว่ายน้ำสวยๆ ตรงกลาง โทนรีสอร์ทสีน้ำตาลอบอุ่น มองออกไปไกลมีทิวเขาสูงใหญ่เป็นฉากหลัง บอกตัวเองเลยว่าทริปนี้สบายแน่นอน
ห้องพักของผม Deluxe Pool อยู่ชั้นสามจากสี่ชั้น จากระเบียงห้องเห็นสระว่ายน้ำและรอบรีสอร์ทถนัดตา มีชุดเก้าอี้ที่นั่งพักผ่อนให้พร้อม ส่วนภายในห้องเป็นเตียงคู่ควีนไซส์ ผมกับคุณนายมากันสองคนก็ตามฟอร์ม เตียงหนึ่งใช้วางของ นอนเตียงเดียวก็พอแล้ว แอร์มันเย็น (ฮา…)
สำรวจห้องสักนิด สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ตู้เย็น ตู้เซฟ ไฟฉาย เสื้อคลุมอาบน้ำ หรือใส่ลงไปสระว่ายน้ำ ไดร์เป่าผม รองเท้าแตะ ชุดอุปกรณ์อาบน้ำ ตามมาตรฐานโรงแรมรีสอร์ทระดับนี้ครับ ส่วนสัญญาณไวไฟเป็นแบบโอเพ่นไม่ต้องใส่รหัสอะไรทั้งสิ้น เราเตอร์ติดเรียงกันแทบทุกสิบเมตร แรงดีไม่มีตก
นอนเกลือกกลิ้งตากแอร์จนหายร้อนแล้วค่อยลงมาดูข้างล็อบบี้ด้านล่าง โอ่โถ่งใช้ได้เลยล่ะ พนักงานยิ้มแย้มทุกคน เรื่องนี้ขอชมเลย
ผมกับคุณนายเอนหลังพักผ่อนกดมือถืออัพเฟซอวดเพื่อนอยู่ริมสระว่ายน้ำ วันธรรมดาช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครเข้าพัก รู้สึกเหมือนกับรีสอร์ทส่วนตัวยังไงยังงั้น แถมยังเปิดเพลงบรรเลงเพราะๆ เพิ่มความโรแมนติคขึ้นอีก
ไม่อยากให้คืนวันผ่านไปเลยนะนี่…
นอนรีสอร์ทแบบนี้ต้องตื่นให้สายครับ กว่าจะลงมาก็เก้าโมงครึ่งเข้าไปแล้ว เมื่อคืนจัดหนักไปหน่อย… อ้อ หมายถึงกินเบียร์หนักไปหน่อย (ฮา…) อาหารเช้ามีให้เลือกพอประมาณ อเมริกันเบรกฟาสต์ คอนติเนนตัลเบรกฟาสต์ ข้าวผัด ข้าวต้ม ขอเบิ้ลขอบวกได้ ส่วนบุฟเฟ่ต์ผลไม้ สลัด ขนมปัง คอนเฟล็ก ชา กาแฟ ตักเอาตามสะดวกเลย สำหรับผมติดใจที่สุดสองอย่างครับคือกาแฟ รสชาติละมุนกลมกล่อมมาก จากปกติกินเบอร์ดี้ 3 in 1 มาเจอของดีแบบนี้ถือเป็นบุญลิ้น อีกอย่างคือน้ำสลัด มีให้เลือกสองสูตรคือเสาวรส กับบีทรูท อร่อยทั้งคู่
บรรยากาศโดยรวมของห้องอาหารเช้า กว้างขวาง ปลอดโปร่ง รับแขกได้เยอะพอสมควร
เติมท้องอิ่มแล้ว แดดวันนี้จัดจ้านมาก ได้เวลาเก็บภาพรีสอร์ทสวยกันแล้วล่ะ ผมคงไม่ต้องบรรยายมาก ให้ภาพเป็นหลักฐานเลยแล้วกัน เน้นรอบสระว่ายน้ำเป็นหลักครับ
มุมมองอื่นๆ ภายในรีสอร์ท สวยโรแมนติคไม่เบาเลย
เกือบเที่ยงโน่นแน่ะจึงค่อยออกไปข้างนอก วางโปรแกรมหลวมๆ เที่ยวแถวนี้แหละ อยากไปที่สุดคือ พรีโม เพียซซ่า เพราะตอนเป็น พรีโม พอสโต ผมยังไม่ทันมาเที่ยวก็ปิดยาวเสียแล้ว ที่นี่ตั้งอยู่บนเส้นผ่านศึกครับ เมื่อวานผ่านมาแล้วแต่ขอเก็บไว้สำหรับเที่ยววันนี้แบบเต็มที่
จอดรถปุ๊บชะงักปั๊บกับค่าเข้า 100 บาท แต่ก็ต้องยอมจ่ายไป วันธรรมดาซึ่งแดดร้อนระอุแบบนี้ภายในโล่งโหวงเหวงเชียวล่ะ ตัวอาคารแบบทัสคานีมีไม่เยอะ ถือว่าค่อนข้างน้อยด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสถานที่คล้ายกันอย่างปาลิโอ
ที่ผมชอบมากคือ ทุ่งหญ้า ฟาร์ม และโรงเลี้ยงสัตว์ด้านหลัง บรรยากาศดีทีเดียว
เขาเลี้ยงแกะเมอริโน่ เขาโง้งโค้งเป็นวงกลมสวยมาก แล้วยังมี อัลปาก้า กับ ลาแคระ น่ารักน่าเล่นด้วยทั้งคู่ เราให้อาหารมันตามสบายโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะรวมอยู่ในค่าตั๋วนั่นแล้วล่ะ มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือนทีละนิดละหน่อยแต่ก็ไม่มากนัก
ผมกับคุณนายเฮฮากับแกะและอัลปาก้าอยู่นานเชียว คิดอยู่ว่าจะกินข้าวมื้อบ่ายที่ไหนดี พอเจอน้ำเปล่าขวดละสามสิบเข้าไป ตัดสินใจได้ทันทีว่าไม่ใช่ที่นี่แน่นอน คำเตือน… หนุ่มคนไหนคิดพาสาวมาสวีทพิชิตหัวใจ ณ พรีโม เพียซซ่า ควรตรวจสอบกระเป๋าสตางค์ให้พร้อมนะเอ้อ
สรุปแล้วมื้อบ่ายอิ่มเอมกับสถานที่อันแสนคุ้นเคย แบล็ค แคนย่อน ที่ปาลิโอ…
โรแมนติค รีสอร์ท แอนด์ สปา อยู่ห่างจากปาลิโอ แค่ 1.5 กิโลเมตร ข้อดีที่สุดของปาลิโอคือไม่เสียค่าเข้านี่แหละ แถมมีทัวร์มาลงหลายกรุ๊ปอยู่ถึงจะเป็นวันธรรมดาก็ตาม นักทองเที่ยวมากกว่าพรีโม เพียซซ่า เยอะ แม้ว่าสภาพอาคารต่างๆ เริ่มดูเก่าตามอายุอานามก็ตามที
มาทีไรก็สนุกกับการหามุมถ่ายรูปทุกที ผมว่าแม้จะเก่าลงเยอะแต่ปาลิโอยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะเวียนเมื่อมาเที่ยวเขาใหญ่อยู่ดี เห็นว่าตรงลานจอดรถเก่าทำเป็นโซนขายของใหม่เสร็จแล้ว คงกำลังรอเปิดอย่างเต็มตัวเพิ่มเติม
บ่ายแก่ๆ ออกจากปาลิโอ ขับรถไปดู เดอะ สโม๊ค เฮ้าส์ เก่าสักหน่อย เขากลับมาเปิดใหม่เปลี่ยนชื่อเป็นมิดวินเทอร์ ราคาคงเกินเอื้อมสำหรับผมเลยขอแค่ถ่ายภาพแค่ข้างนอกพอ เช่นเดียวกับที่ทอสคาน่า วัลเล่ย์ ซึ่งได้แต่ถ่ายรูปเพียงด้านนอก
กลับรีสอร์ทตากแอร์เย็นฉ่ำแล้วรอเล่นน้ำตอนเย็นให้สุขอุราดีกว่า ขออนุญาตเอากล้องวางทิ้งไหว้ปล่อยให้มันได้พักผ่อนบ้างนะ (ฮา…)
วันสุดท้าย กินมื้อเช้าบ๊ายบายที่ โรแมนติค รีสอร์ท แอนด์ สปา การเข้าพักครั้งนี้ขอบอกว่าประทับใจมากครับ ตัวรีสอร์ทบรรยากาศดี มีการเปิดเพลงบรรเลงเพราะๆ ให้ฟังตลอด พนักงานยิ้มแย้มบริการอย่างดีในทุกส่วน เรียกขออะไรได้หมด รู้สึกชัดเจนเลยว่าฟีลเที่ยวแบ็คแพ็คผจญภัยกับเที่ยวพักผ่อนในรีสอร์ทแบบนี้มันต่างกันเหมือนอยู่คนละโลกเชียว
ผมให้คะแนน ให้ดาวไม่เป็นเสียด้วย คงบอกได้เพียงว่ายินดีมากที่ได้มาเข้าพัก มาเก็บเกี่ยวความสุขช่วงสั้นๆ ในอีกรูปแบบหนึ่งที่นี่ ทิ้งท้ายสักนิดกับภาพอาหารเช้าอีกวัน ไหนๆ ก็ถ่ายมาแล้วน่ะ
ขับรถออกจากรีสอร์ท คุณนายเธอสายตาอาลัยอาวรณ์ ผิดกับผมที่อยากขึ้นเขาใหญ่ใจจะขาด (ฮา…) ว่าแล้วก็บึ่งรถลุยโลดจ่ายค่าธรรมเนียมผ่านด่าน 130 บาท (คนละ 40×2 บาท รถยนต์ 50 บาท) เวลาวันเดียวคงเที่ยวทุกจุดไม่ได้ เน้นเอาเฉพาะที่เที่ยวไม่ยากและอยู่ตามเส้นทางแล้วกัน
เริ่มต้นสักการะเจ้าพ่อเขาใหญ่เสียก่อน จากนั้นแวะจุดชมวิวเก็บภาพนิดหน่อย ฟ้าใสแดดแรงแต่ก็มีกลุ่มเมฆอยู่ไม่น้อย
ขึ้นเขามาเรื่อยๆ ผ่านทางเดินศึกษาธรรมชาติเข้าหอดูสัตว์หนองผักชี จนมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ก็ต้องแวะทักทายเจ้าถิ่นสักหน่อย รวมทั้งแวะกินข้าวเบาๆ อีกสักจานกันด้วย เดี๋ยวต้องออกแรงพอสมควร
ผ่านอ่างเก็บน้ำสายศร ทำจุดชมวิวใหม่อย่างดีเชียวแฮะ ไม่มีอะไรต้องพูดมาก ลั่นชัตเตอร์มันเข้าไป
ขึ้นมาเขาใหญ่มาแล้วต้องเยี่ยมเยือนน้ำตกเหวสุวัต ทั้งที่รู้แก่ใจว่าคงไม่สวยเท่าไหร่ ซึ่งก็ตามคาดครับ น้ำมากกว่าน้ำก๊อกแต่ยังน้อยเกินจะเรียกว่าเป็นน้ำตก ถึงอย่างนั้นยังคงมีนักท่องเที่ยวมาชมกันแทบไม่ขาดช่วง
เป้าหมายหลักในการขึ้นเขาใหญ่ครั้งนี้ของผมอยู่ที่ผาเดียวดาย อยู่บนเขาที่เรียกกันว่าเขาเขียว รถเก๋งขึ้นสบาย จอดรถแล้วจะมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอย่างดีสู่หน้าผาและวนกลับมาที่เดิม ระยะทางแค่ไม่เกิน 500 เมตร เป็นจุดชมวิวที่ผมชอบที่สุดบนเขาใหญ่ครับ สูดอากาศแห่งป่าเขาใหญ่กันให้เต็มปอด
หลังจากนั้นก็วิ่งตามเส้นทางที่วางแผนคือลงจากเขาใหญ่ทางปราจีนบุรี ระหว่างทางผ่านน้ำตกเหวนรก ที่นี่เขาปิดตอนห้าโมงเย็น ผมไปถึงสี่โมงโชคดียังทันเวลาแต่ก็ต้องเร่งฝีเท้าในการเดินสักนิด เส้นทางจากลานจอดรถไปถึงตัวน้ำตกประมาณ 1 กิโลเมตร ช่วงสุดท้ายเป็นบันไดขาค่อนข้างชันลงประมาณ 200 ขั้น เตรียมใจสำหรับขาขึ้นไว้เลย
เหวนรกก็น้ำน้อยเช่นเดียวกัน เปรียบเทียบกับคนก็เหมือนกำลังนอนหลับสนิท เฝ้ารอการตื่นขึ้นเมื่อฝนเทลงมานั่นแหละ
น้ำตกที่เห็นจากจุดนี้คือชั้นบนสุด ใครอยากเห็นน้ำตกชั้นล่างจะต้องไปยังจุดชมวิวบนเขาซึ่งต้องเดินป่าสั้นๆ ราว 400 เมตร แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่นำทางไป ช่วงเดือนตุลาคมสวยที่สุด เป็นหนึ่งในภาพอันยิ่งใหญ่ของเขาใหญ่ ขอเอาภาพเก่าที่เคยถ่ายไว้มายั่วน้ำลายนะครับ
ผมลงจากเขาใหญ่ถึงด่านเนินหอม ปราจีนบุรี สักห้าโมงกว่าๆ แวะเข้าไปหาของกินที่ตัวเมืองปราจีน แล้วค่อยขับรถกลับเมืองกรุง เป็นการปิดทริปนี้ ซึ่งหากจะบอกว่าเป็นการเที่ยวที่ผสมผสานกันระว่างการพักผ่อนแสนสบายในรีสอร์ทสวย การเที่ยวถ่ายรูปตามสถานที่เที่ยวกระแสนิยม และปิดท้ายกับการสัมผัสธรรมชาติที่เป็นของแท้ไม่มีการปรุงแต่ง ก็น่าจะนำมาปรุงกันลงตัวพอสมควร
คำว่า “เที่ยวเขาใหญ่” มีหลายมุมหลายอารมณ์ และเหมือนทริปนี้เพียงทริปเดียว ผมจะได้พบเจอเกือบครบทุกมุมแล้วล่ะ…
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller