ทริปเดินทาง : 20-23 ตุลาคม 2557
กาญจนบุรี… ในบรรดา 77 จังหวัดประเทศไทย ยกเว้นบ้านเกิด กทม. ก็ต้องเมืองกาญจน์นี่แหละที่ผมหนีเที่ยวบ่อยครั้งที่สุด ด้วยเหตุผลอยู่ใกล้กรุง เดินทางสะดวก รถไฟ รถทัวร์ รถตู้ รถยนต์ เลือกตามใจชอบ อีกทั้งที่เที่ยวหลากหลายเพราะเป็นจังหวัดใหญ่โต ใครไม่รู้บอกให้เลยว่าที่นี่คือจังหวัดใหญ่สุดอันดับสามของบ้านเรา เป็นรองแค่ นครราชสีมา กับ เชียงใหม่ แถมสมบูรณ์ด้วยผืนป่า มีอุทยานแห่งชาติตั้งเจ็ดแห่ง เขื่อนใหญ่อีกสอง เที่ยวมาเป็นสิบครั้งยังไม่ถึงครึ่งจังหวัดเลยครับ
ทริปล่าน้ำตกเมืองกาญจน์ครั้งนี้ตั้งใจไว้นานมากจนเพิ่งมาสบโอกาสปฏิบัติ เคยเที่ยวมาหมดทุกที่แล้วแหละแต่อยากแบบตะลอนต่อเนื่องภายในทริปเดียว พร้อมกับพาคุณนายที่บ้านไปเที่ยวชมธรรมชาติสวยๆ ไม่มีช่วงเวลาไหนเหมาะเท่ากับปลายฝนต้นหนาวเดือนตุลาคม น้ำตกทั้งห้าแห่งในแผนคือ ไทรโยคน้อย ไทรโยคใหญ่ กับ ผาตาด ทางฝั่งอำเภอไทรโยค-ทองผาภูมิ และน้ำตกเอราวัณ กับ ห้วยแม่ขมิ้น ฝั่งอำเภอศรีสวัสดิ์
ปกติท่องเมืองกาญจน์ผมนิยมนั่งรถไฟ รถฟรีเที่ยวเช้าจากสถานีธนบุรี ปลายทางตัวเมืองกาญจน์บ้าง สะพานแควใหญ่บ้าง หรือไม่ก็สถานีน้ำตกใกล้น้ำตกไทรโยคน้อย จากนั้นจะไปไหนค่อยใช้บริการรถบัสหวานเย็นอีกที แต่ด้วยทริปนี้ระยะทางรวมกันไกลมาก แถมบางน้ำตกอย่างผาตาด หรือ ห้วยแม่ขมิ้น ไม่มีรถโดยสารเข้าถึง เลยขอลงทุนควักค่าน้ำมันขโมยรถพ่อไปซิ่งดีกว่า (ฮา…)
ดูจากแผนที่ น้ำตกผาตาด กับ น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น อยู่ใกล้กันนิดเดียวครับ ราว 50 กิโลเมตรเท่านั้นเอง แถมอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์เหมือนกัน แต่การเดินทางไม่ง่ายเหมือนระยะทาง เพราะถนนเป็นทางลูกรังเล็กๆ ไม่ได้ใช้สัญจรทั่วไป รถเก๋งธรรมดาจำเป็นต้องอ้อม ได้ระยะทางเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าตัวเป็นของกำนัล!
ก่อนเที่ยวน้ำตกเมืองกาญจน์ขอเล่าเกร็ดความรู้สนุกๆ นิดหน่อย อย่างที่หลายคนอาจทราบอยู่แล้วว่าจังหวัดกาญจนบุรีมีแม่น้ำแควสองสายคือ แควใหญ่ กับ แควน้อย และมีเขื่อนใหญ่สองแห่งคือ วชิราลงกรณ (ชื่อเขื่อน ณ ไม่มีการันต์นะครับ) กับศรีนครินทร์ ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวโยงกับน้ำตกที่เราจะไปเที่ยว
มองตามจากแผนที่ แม่น้ำแควน้อยไหลมาจากทางอำเภอสังขละบุรี ลงมาตามเขื่อนวชิราลงกรณ ผ่านอำเภอทองผาภูมิ อำเภอไทรโยค ซึ่งน้ำตกผาตาด น้ำตกไทรโยคใหญ่ และไทรโยคน้อย ไหลลงแม่น้ำสายนี้แหละ ขณะที่แม่น้ำแควใหญ่มุ่งลงใต้มาทางอำเภอศรีสวัสดิ์ ลงสู่เขื่อนศรีนครินทร์ แล้วไหลเข้าอำเภอเมือง ดังนั้นน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น กับ น้ำตกเอราวัณ ที่อยู่อำเภอศรีสวัสดิ์จึงคือน้ำตกในสาขาของแม่น้ำแควใหญ่นั่นเอง
แควน้อยกับแควใหญ่มาบรรจบกันที่ตำบลปากแพรก อำเภอเมือง แล้วเปลี่ยนชื่อเรียกเสียใหม่ว่าแม่น้ำแม่กลอง ไหลผ่านราชบุรี จนลงอ่าวไทยที่จังหวัด… ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก… เฉลย… สมุทรสงคราม ดังนั้นหากใครไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพวาชมแม่น้ำแม่กลองก็รู้ไว้เลยว่าน้ำในแม่น้ำนั่นมีน้ำจากน้ำตกทั้งห้าแห่งนี้รวมอยู่ด้วย
ทีนี้หากเรานั่งรถไฟมาเมืองกาญจน์ ถึงสะพานข้ามแม่น้ำแควนั่นคือแม่น้ำแควใหญ่ จากนั้นทางรถไฟจะวิ่งสู่อำเภอไทรโยค ถึงช่วงถ้ำกระแซหรือที่เราคุ้นปากเรียกกันว่าทางรถไฟสายมรณะ ตรงนั้นคือแม่น้ำแควน้อย เรียกว่าตีตั๋วรถไฟใบเดียวได้ชมแม่น้ำทั้งสองสาย
เอาล่ะ โม้มามากพอ เข้าถึงขั้นตอนการเดินทางในทริปนี้ดีกว่า ที่พักไม่ต้องหาไม่ต้องจองให้ยุ่งยาก แค่พกเต็นท์กับถุงนอนไว้บนรถ อย่างไรเสียก็มีที่อาบน้ำและที่ซุกหัวนอนตามอุทยานแห่งชาติต่างๆ แน่นอน
– 1 ไทรโยคใหญ่ –
ทริปนี้ 20-23 ตุลาคม จุดหมายแรกคือน้ำตกไทรโยคใหญ่ อุทยานแห่งชาติไทรโยค ออกตัวราว 7.30 น. ขับกินลมชมวิวมาเรื่อย แวะกินก๋วยเตี๋ยว กาแฟ เข้าปั๊ม โดยเริ่มต้นที่แดนบางกอกแถวปิ่นเกล้า วิ่งถนนบรมราชชนนี เชื่อมต่อเพชรเกษม ที่นครชัยศรี จ.นครปฐม จากนั้นมาเลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 323 ถนนแสงชูโต ที่บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ถนนสายนี้จะพาเข้า อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ขับรถแป๊บเดียวล่อมาซะหลายจังหวัดแล้ว (ฮา…) จากบ้านมาถึงเมืองกาญจน์ ประมาณ 120 กิโลเมตร แต่จากตัวเมืองกว่าจะถึงไทรโยคใหญ่อีกตั้ง 100 กิโลเมตร มาถึงทางเข้าอุทยานฯ ประมาณ 11.30 ครับ ช้ากว่าประเมินนิดหน่อยเพราะเหยียบคันเร่งอ่อยเหลือเกิน มัวแต่สบายอารมณ์ร้องเพลง
ถึงแล้วควักสตางค์ ผู้ใหญ่ 40 บาท คูณสอง บวกค่าธรรมเนียมรถยนต์อีก 30 บาท รวม 110 บาท บริเวณน้ำตกไทรโยคใหญ่เป็นที่ตั้งที่ทำการอุทยานฯ บรรยากาศโดยรวมร่มรื่น จากลานจอดรถเดินทางราบสัก 300 เมตร ก็ถึงน้ำตกแล้ว เป็นน้ำตกประเภทปิกนิก ส้มตำ น้ำตก ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ขนมาเปิบกันซะให้เปรม ลักษณะน้ำตกแปลกกว่าที่อื่นคือเป็นสายน้ำไหลทิ้งตัวลงแม่น้ำแควน้อย เด็กๆ ไปเล่นน้ำกันในแอ่งด้านบน แต่หากปีกกล้าขาแข็งแล้วก็กระโดดว่ายแม่น้ำเล่นกันสะใจเลยล่ะ
วิธีเที่ยวเจ๋งที่สุดของน้ำตกไทรโยคใหญ่คือการล่องแพ ถ้าจำราคาไม่ผิดราคาล่องเรือเที่ยวแม่น้ำ 1,500 บาท ค้างคืนเพิ่มอีก 1,000 บาท มีทั้งคนไทยทั้งฝรั่งมาล่องแพ บางหลังอาจเปิดเพลงร้องเพลงเสียงดังสักหน่อย ดูไม่ค่อยสงบเงียบสำหรับคนรักธรรมชาติ แต่สำหรับคนชอบกิจกรรมที่นี่เหมาะเหม็ง มีข้อแม้คือต้องมาเป็นก๊วนนะครับ ผมมากับคุณนายเพียงสองคน ขอเดินชมวิวชิลๆ ดีกว่า เพราะล่องแพไม่คุ้มราคาเหมา
ด้วยความที่เป็นน้ำตกลงแม่น้ำ จุดชมวิวน้ำตกที่ดีที่สุดจึงเป็นฝั่งตรงข้าม เดินข้ามสะพานแขวนไปเลย วิวสวยถ่ายรูปเพลินดี รอจังหวะแพผ่านไปผ่านมาใช้เป็นพร็อพเท่ๆ ใกล้กันมีทางเดินไปน้ำตกไทรโยคเล็ก ตั้งชื่อให้ต่างกันอย่างนั้นแหละเพราะต้นกำเนิดเดียวกัน เท่ากับว่าที่นี่มีน้ำตกไหลลงแม่น้ำสองสายนะครับ มาถึงแล้วต้องเก็บให้ครบ
ไม่ไกลจากจุดชมน้ำตกไทรโยคเล็ก มีหาดทรายริมแม่น้ำ ทรายแม่น้ำไม่สวยเหมือนทะเลหรอกนะครับแต่ก็เดินเล่นสบาย ส่วนสองฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยแพอาหารและแพที่พัก อาหารตามสั่งราคาธรรมดาไม่โอเว่อร์ ที่พักมีตั้งแต่พันจนถึงมากกว่าสองพัน ไม่เช่นนั้นลองติดต่อบ้านพักอุทยานฯ หรือลานกางเต็นท์ก็ได้ สำหรับผมไม่คิดค้างที่นี่ ขอเที่ยวถ่ายรูปอย่างเดียว
– 2 น้ำตกผาตาด –
จุดหมายต่อไป น้ำตกผาตาด เขตอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ห่างจากน้ำตกไทรโยคใหญ่ไปทางอำเภอทองผาภูมิ ประมาณ 40 กิโลเมตร มาถึงที่นี่ตอนสี่โมงนิดหน่อย เจ้าหน้าที่หน้าด่านเก็บของเลิกงานไม่อยู่เฝ้าแล้ว หลายคนอาจสงสัยทำไมไม่เก็บเงินหรือไม่มีเวลาเปิด-ปิด หากใครเที่ยวอุทยานแห่งชาติบ่อยจะเข้าใจครับ ที่นี่เป็นเพียงหน่วยพิทักษ์ อะไรมันก็เลยผ่อนปรนซึ่งถือว่าดีสำหรับเรา
ผมเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแต่ดันเป็นช่วงหน้าแล้ง (แล้วมาทำไม?) ไม่มีน้ำไม่สวยอย่างแรง คราวนี้ต้องขอแก้มือ จากที่จอดรถมองเห็นน้ำตกอยู่ใกล้ๆ ข้างน้ำตกเป็นลานกางเต็นท์ มีบ้านพักบริการด้วยซึ่งต้องติดต่อล่วงหน้าล่ะนะ ขอบอกเลยว่าเจอน้ำตกชั้นหนึ่งอย่าไปสนใจมาก เพราะทีเด็ดอยู่ด้านบนคือชั้นสามสูงสุดต่างหาก
จากชั้นแรกอีกแค่ร้อยเมตรถึงชั้นสอง ต่อไปอีกสักสองร้อยเมตรก็จะเจอน้ำตกสวยสุดยอด สายน้ำไหลลงมาจากหน้าผากว้างสมชื่อผาลาด กว้างจนไม่รู้จะเก็บภาพมุมไหนดีเพราะมุมไหนก็สวยไปหมด จะไต่หน้าผาขึ้นไปด้านบนควรระวังสักหน่อย ปกติน้ำตกหินปูนไม่ค่อยลื่นแต่ถ้าไม่ระวังมีสิทธิ์พลาดเจ็บหนักเหมือนกัน
หามุมถ่ายรูปน้ำตกชั้นสามเพลินๆ แล้วไล่ลงมาเก็บชั้นสองกับชั้นล่างสุดก็เย็นย่ำพอดี
วันนี้มีครอบครัวราวหกหรือเจ็ดชีวิตมากางเต็นท์นอนที่น้ำตกผาตาดด้วย ผมคิดอยากกางเต็นท์ที่นี่เหมือนกันครับ บรรยากาศสบายโล่งดี แต่ไม่อยากเดินทางไกลตอนเช้าเลยขอตีรถกลับไปทางไทรโยคดีกว่า ขับรถถึงน้ำตกไทรโยคน้อย 70 กิโลเมตร ก็ทุ่มครึ่งแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะไปนอนที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ แต่บังเอิญมาจะเอ๋โรงแรมราคาประหยัด เยื้องกับน้ำตกไทรโยคน้อยเลยจอดตรงนั้นแหละ
โรงแรมแบบนี้หลายคนเรียกโรงแรมเซลล์ คือโรงแรมสำหรับพวกเซลล์แมนที่ต้องตะลอนทำงานต่างจังหวัด หรือคนขับรถส่งของแวะพักใช้เป็นที่ซุกหัวนอน เป็นโรงแรมสำหรับคนงบน้อยด้วยเช่นกัน ที่นี่ชื่อโชคชัย โฮเต็ล คืนละ 400 บาท เสาร์-อาทิตย์ 450 บาท สภาพห้องตามราคาครับ ไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพมาอวด แต่เจ้าของอัธยาศัยดีน่ารักยิ้มแย้ม แค่นี้นอนสบายแล้ว
– 3 น้ำตกไทรโยคน้อย –
เหตุผลของการนอนที่ไทรโยคน้อยแทนที่จะไปเอราวัณมาเฉลยตอนเช้า เพราะผมอยากเก็บภาพน้ำตกไทรโยคน้อยแบบไม่มีคน หนทางเดียวคือต้องมาตอนเช้าก่อนแปดโมง หลังจากนั้นจะเริ่มมีคนทยอยมาเล่นน้ำ ทั้งคนไทยและทัวร์ฝรั่ง ยิ่งช่วงปิดเทอมแบบนี้ไม่ต้องห่วง คนแยะทุกวัน ปกติเคยแต่นั่งรถไฟมา ถึงก็บ่ายๆ คนตรึมตลอด ทริปนี้มีโอกาสเลยขอจัดตอนเช้าสักหน่อย
ชื่อน้ำตกไทรโยคน้อย คงมาจากน้ำน้อย (ฮา…) ถ้าไม่ใช่ช่วงฝนตกหนักๆ ยังไงน้ำก็ไม่เยอะ เป็นน้ำตกชั้นเดียวอยู่ริมถนนคนเลยเพียบตลอด เหมือนสวนสาธารณะให้ชาวบ้านมานั่งปิกนิกพักผ่อนเล่นน้ำมากกว่าเป็นน้ำตกเขตอุทยานแห่งชาติ และถึงจะอยู่ในอุทยานแห่งชาติไทรโยค แต่เพราะเป็นน้ำตกเล็กๆ นี่แหละเลยไม่เก็บเงินค่าเข้า
ด้านบนน้ำตกไทรโยคน้อยมีหน่วยพิทักษ์ เลยขึ้นไปอีกสักกิโลเมตรจะเป็นต้นน้ำ สี่ปีก่อนผมเคยไปเล่นน้ำที่ต้นน้ำมาแล้ว ถ้าเลยไปอีกชนิดต้องเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าไปจะมีถ้ำสวรรค์วังบาดาลให้เที่ยว ถ้ำนี้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ให้เจ้าหน้าที่ถือตะเกียงนำทางเข้าไป สนุกและสวยดี แต่ทริปนี้ผมเน้นน้ำตกเพียวๆ เลยของ่วนกับการถ่ายน้ำตกก็พอ
เจอปูน้ำตกด้วยแฮะ มาเที่ยวหลายครั้งเพิ่งเคยเห็น
– 4 น้ำตกเอราวัณ –
ใช้เวลาที่น้ำตกไทรโยคน้อยประมาณชั่วโมงก็ลุยต่อ เป้าหมายคือน้ำตกเอราวัณ เส้นทางจากไทรโยคน้อยง่ายๆ คือเลี้ยวซ้ายที่สามแยกทับศิลา เส้นนี้คือทางหลวงหมายเลข 3457 ไทรโยค-ท่าทุ่งนา เพื่อเชื่อมฝั่งอำเภอไทรโยคกับอำเภอศรีสวัสดิ์ วิ่งไปสุดจนโผล่สามแยกโป่งปัด เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 3199 แก่งเสี้ยน-ศรีสวัสดิ์ หรือถนนจากตัวเมืองกาญจน์ไปอำเภอศรีสวัสดิ์ ยิงยาวจนเลี้ยวเข้าน้ำตกเอราวัณ ระยะทางจากไทรโยคน้อยก็ประมาณ 50 กิโลเมตร
ถึงด่านตรวจ ค่าเข้าผู้ใหญ่ 40 บาท คูณสองคน กับรถอีก 30 บาท รวมกันอีก 110 บาทเหมือนเดิม จอดรถแล้วหาข้าวกินเติมพลังกันก่อน ร้านค้าเรียงรายตรงลานจอดรถนั่นแหละ เลือกตามสบาย ผมไม่มีร้านไหนแนะนำ เพราะแค่ยัดลงท้องให้มีแรงเดินเท่านั้นเอง
เอราวัณเป็นน้ำตกใหญ่ สวย และยอดฮิตมาก น้ำตกมีทั้งหมดเจ็ดชั้น จากเริ่มต้นทางเดินก็ระยะทางเบาะๆ ราว 1.5 กิโลเมตร ชื่อชั้นของเขาคล้องจองเก๋ไก๋คือ ไหลคืนรัง วังมัจฉา ผาน้ำตก อกนางผีเสื้อ เบื่อไม่ลง ดงพฤกษา และภูผาเอราวัณ สวยทุกชั้น ใสทุกชั้น เล่นน้ำได้ทุกชั้น ถ้าต้องการแค่สนุกเล่นน้ำสักชั้นสองสามก็พอครับ ส่วนคนอยากพิชิตชั้นเจ็ดต้องเตรียมตัวสักหน่อย พกน้ำขึ้นไปด้วยเป็นการดีมาก
จากทางเข้าสู่ชั้นแรกประมาณ 300 เมตร ทางราบเดินสบาย ต่อมาชั้นสองอยู่ถัดขึ้นไปนิดเดียว ตรงนี้เป็นจุดยอดนิยม เพราะน้ำตกสวย แอ่งกว้าง ความลึกกำลังดี นักท่องเที่ยวมักเยอะกว่าชั้นอื่นเสมอ และจากตรงนี้เป็นต้นไปอุทยานฯ ไม่อนุญาตให้นำอาหารจำพวกมาปิกนิกขึ้นด้านบนแล้วนะครับ สำหรับขวดน้ำต้องมัดจำขวดละ 20 บาท ขาลงถือมาแลกเงินคืน เป็นการป้องกันไม่ให้ใครทิ้งขยะไว้ด้านบน
เดินสักพักจากชั้นสองจะถึงทางแยก ทางขวาไปชั้นสามผาน้ำตก สายน้ำไหลจากผาสูงสักสิบเมตรประมาณนั้น เป็นอีกภาพไฮไลท์ของน้ำตกเอราวัณ
จากชั้นสามเป็นต้นไปทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ถึงชั้นสี่ชื่อประหลาดอกนางผีเสื้อ ถ้ามาเห็นต้องร้องอ๋อแหละว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ นักท่องเที่ยวชอบเล่นสไลเดอร์ธรรมชาติ น้ำเขียวใสเหมือนสระมรกต จากนั้นเดินอีกหลายเมื่อยถึงชั้นห้า เบื่อไม่ลง ชั้นนี้ผมว่าย่ำแย่ที่สุดในเรื่องการตั้งชื่อครับ (ฮา…) น้ำตกออกจะงามแต่ชื่อเฉิ่มชะมัด
นอกจากชั้นน้ำตกหลักๆ แล้วระหว่างทางก็ยังสวยไม่แพ้กันด้วยนะครับ
เดินขึ้นมาเรื่อยๆ อีกสักเมื่อยพบทางแยกอีกครั้ง ป้ายขวาชี้ไปชั้นหกดงพฤกษา ครั้งก่อนๆ ไม่เคยเห็นความสวยของชั้นนี้เลยเพราะมาตอนน้ำไม่เยอะ คราวนี้มีน้ำให้พอชื่นใจ แอ่งน้ำใสมากครับ เพราะยิ่งสูงก็ต้องยิ่งใส ถ้าไม่ติดว่าบ้าถ่ายรูปจะกระโจนโดดน้ำเสียให้หายอยาก
จากชั้นหกถึงชั้นเจ็ด เส้นทางลำบากทีเดียว บางจุดอุทยานฯ ทำบันไดไว้ให้ จนกระทั่งมาถึงที่สุดครับ คุณคือผู้พิชิต ณ ภูผาเอราวัณ สำหรับผมเป็นแฮตทริก ครบสามครั้งเรียบร้อย น่าเสียดายว่าหน้าผายังคงไม่มีน้ำตกอยู่ดี เจ้าหน้าที่บอกว่ามีเฉพาะช่วงฝนตกติดต่อกัน แต่ยังไงแอ่งน้ำเบื้องล่างก็สวยใสเสมอ ใสแจ๋วเพราะอยู่ชั้นบนสุด เป็นน้ำบริสุทธิ์จากป่าเขาจริงๆ
รวมเบ็ดเสร็จเวลาเริ่มขึ้นมาตอนสิบโมงเช้า ผมถึงภูผาเอราวัณ ตอนบ่ายสามนิดๆ ใช้เวลานานมากตามประสาคนเดินไปถ่ายภาพไป แถมยังแวะเอาเท้าแช่น้ำเย็นๆ ให้ปลาตอดเล่นอีกหลายจุด พอถึงชั้นบนแล้วบางอ้อว่าเจ้าหน้าที่เขาอนุญาตให้นักท่องเที่ยวอยู่ไม่เกินสามโมงครึ่ง ขณะที่ชั้นสี่ให้อยู่ถึงสี่โมง และสี่โมงครึ่งที่ชั้นสอง เพื่อเป็นการเคลียร์คนให้หมดก่อนเย็น
ขาลงแวะถ่ายรูปตามชั้นต่างๆ ซึ่งคนเริ่มน้อยลง กว่าจะมาถึงลานจอดรถข้างล่างก็ตอนห้าโมงเย็นพอดิบพอดี
คืนนี้บ้านพักอุทยานที่เอราวัณเต็มเอี๊ยดทุกห้อง – หลังสองคนคืนละ 800 บาท ผมเคยมาพักนานแล้วล่ะ ตอนแรกว่าจะนอนเต็นท์แต่คุณนายเธอไม่อยากเพราะเหนื่อยกับการพิชิตเอราวัณ เลยโทรไปถามอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ปรากฏว่ามีบ้านพักว่างและลดราคาอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ เหลือคืนละ 630 บาท เท่านั้นแหละเลยโดนคำสั่งเด็ดขาดว่าไปห้วยแม่ขมิ้น เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่ง ผมเป็นแค่พลขับจะกล้าหืออะไร!
– 5 น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น –
เมื่อก่อนห้วยแม่ขมิ้นเป็นน้ำตกไปลำบากเพราะไม่มีถนนเข้าถึง ต้องนั่งแพขนานยนต์ข้ามฝากจากอำเภอศรีสวัสดิ์ แต่เดี๋ยวนี้พัฒนาแล้วมีถนนลาดยางอย่างดีมาจากน้ำตกเอราวัณ เป็นทางหลวงชนบท กจ. 6043 สร้างเสร็จทั้งสายเมื่อปี ’55 นี่เอง ระยะจากเอราวัณมาราว 40 กิโลเมตรหน่อยๆ แต่อาจใช้เวลาสักนิดเพราะทางคดเคี้ยวพอหอมปากหอมคอ
ไปถึงห้วยแม่ขมิ้นหกโมงครึ่ง จ่ายเงินค่าธรรมเนียมอุทยานฯ รวมกัน 110 บาทเช่นเคย บ้านพักชื่อวังหน้าผา เป็นเรือนแถวบนเขา มีทั้งหมด 12 ห้อง มองเห็นวิวเขื่อนศรีนครินทร์สวยดี หนึ่งห้องสามเตียง ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรนอกจากพัดลมหนึ่งตัวและเครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊ส ปลั๊กไฟใช้ได้อันเดียว ผมเตรียมปลั๊กต่อมาด้วยเลยไม่มีปัญหา ใช้ซุกหัวนอนหลับสบายตามสภาพ
เอารูปตอนเย็นๆ อีกวันมาให้ชมครับ เผื่อใครไปเที่ยวแล้วอยากพักจะได้ใช้พิจารณา
สลบเหมือดเพื่อตื่นแต่เช้า ลุยโลดที่ห้วยแม่ขมิ้นเป็นรอบที่สี่ ที่นี่เขาแปลกนิดหนึ่งคือที่ทำการอุทยานฯ บ้านพัก ลานกางเต็นท์ ร้านอาหาร อยู่บริเวณน้ำตกชั้นสี่ ซึ่งถือเป็นชั้นไฮไลท์และเป็นภาพโฆษณาของน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นมาโดยตลาด ส่วนตัวน้ำตกทั้งหมดมีเจ็ดชั้น ดังนั้นเราต้องขึ้นอีกสาม และลงอีกสาม ชื่อน้ำตกแต่ละชั้นคือ ดงว่าน ม่านขมิ้น วังหน้าผา ฉัตรแก้ว ไหลจนหลง ดงผีเสื้อ และ ร่มเกล้า สวยทั้งสามบนและสามล่าง แต่มีแคแรคเตอร์แตกต่าง ถ้าให้เจาะจงจิ้มสำหรับคนเดินไม่ทนคงให้เดินลงล่างจะพบเจอความงามมากกว่า ระยะทางทั้งหมดถ้านับจากชั้นหนึ่งถึงเจ็ดก็ราวสองกิโลเมตร
จากชั้นสี่ฉัตรแก้ว สู่ชั้นหนึ่งดงว่าน อุทยานฯ ปรับปรุงทางเดินใหม่หมด – มาเดือนกันยาปีก่อนยังไม่มี เป็นบันไดและสะพานไม้อย่างดีตลอดสาย ชั้นสี่ลงชั้นสามเจอหน้าผาสวยอลังการ จากนั้นจะพบม่านน้ำตกชั้นเล็กๆ ระหว่างทางโดยตลอด
ถึงชั้นสองเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ตัวน้ำตกเตี้ยๆ มีดีด้านกว้าง เหมาะสำหรับเล่นน้ำเหลือเกิน และอีกไม่กี่สิบเมตรก็ลงมาถึงชั้นหนึ่ง เป็นหนึ่งในชั้นที่สวยที่สุด สายน้ำไหลหลั่นเหมือนลงมาตามขั้นบันได จากจุดนี้ทางเดินยังเดินเลียบลำธารไปได้ครับแต่ไม่มีชั้นน้ำตกสวยๆ แล้วล่ะ ทางเดินจะไปสุดที่ถนนซึ่งทะลุออกไปยังด่านเก็บค่าบริการด่านล่างเลย
ย้อนกลับมาด้านบนกันบ้าง ชั้นห้าอยู่ไม่ไกลจากปากทางเดิน เป็นชั้นซึ่งความสวยต้องบอกว่าติดลบ น่าสนใจเพราะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติหลุมยุบแต่รอบบริเวณรกรุงรัง ลงเล่นน้ำไม่ได้ ถ่ายรูปก็ไม่เวิร์ค เรียกว่าแค่ดูด้วยตาก็เพียงพอ จากนั้นต้องเดินไกลราวสองรอบสนามฟุตบอล 800 เมตร แต่เส้นทางไม่ชันมากก็จะถึงชั้นหก ม่านน้ำแผ่กว้างหลายลักษณะ ผมแวะถ่ายรูปนานเป็นชั่วโมงครับ เพราะน้ำกำลังพอตัวสวยเชียวล่ะ
อีกไม่ไกลกันก็ถึงชั้นเจ็ดแล้ว ชื่อเพราะพริ้งว่าร่มเกล้า มาหนนี้น้ำกำลังได้ที่เลยดูสวยงามมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ด้านบนเป็นแอ่งใหญ่ ถ่ายรูปเล่นสักพักก็มีครอบครัวใหญ่เดินมาถึง เล่นน้ำกันอย่างเพลิดเพลิน เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นมีความสุขกับสถานที่ที่ผมเองหลงรักอยู่แล้วพลอยมีความสุขตามไปด้วยครับ
อุทยานฯ ติดป้ายไว้ไม่ให้เดินชมน้ำตกในช่วงเวลา 16.30-6.00 น. แต่ไม่ได้เคร่งครัดมาก ผมเองเริ่มต้นจากเดินลงไปชั้นหนึ่ง ขึ้นมาชั้นเจ็ด แล้วยังถ่อลงไปชั้นหนึ่งอีกรอบ ถ่ายรูปเล่นเสร็จสรรพราวห้าโมงครึ่งแล้ว ที่จริงยังสามารถขับรถกลับกรุงเทพสบายๆ แต่คุยกับคุณนายแล้วตกลงนอนค้างต่ออีกหนึ่งคืน ทว่าภารกิจล่าห้าน้ำตกของผมถือว่าสิ้นสุดแล้วล่ะ
ถามว่าเหนื่อยไหม ตอบว่าเหนื่อยแน่นอน แต่พอได้มองภาพที่ตัวเองถ่ายมาแล้ว บอกเลยครับว่าทริปนี้ฟินสุดๆ
สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวเล่นน้ำตกเมืองกาญจน์ หากเดินทางจากกรุงเทพบอกเลยครับว่าควรออกตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะเมืองกาญจน์เป็นจังหวัดแนวยาว ไปที่ไหนล้วนไกลโขทั้งสิ้น แถมน้ำตกสวยๆ ยังต้องใช้เวลาเดินพอสมควร ดังนั้นเป็นไปได้วางแผนแบบมาพักค้างอย่างน้อยก็สักคืนจะดีมาก
ส่วนตัวผมเอง อีกไม่นานหรอกคงได้มาเยือนเมืองกาญจน์ใหม่ เพราะอย่างที่บอก กระทั่งรวมทริปนี้ยังเที่ยวมาไม่ถึงครึ่งจังหวัดด้วยซ้ำ!
หมายเหตุ : ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นมา กรมอุทยานแห่งชาติฯ ปรับราคาค่าเข้าชม อช.ไทรโยค อช.เอราวัณ และ อช.เขื่อนศรีนครินทร์ เป็นผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller